ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ก่อตั้ง Virgin
ความสำเร็จของ Richard Branson ริชาร์ด แบรนสัน ผู้ก่อตั้ง Virgin
เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน ชายผู้เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ
การเดินทางของแต่ละคนที่ประสบความสำเร็จนั้นมีเส้นทางที่แตกต่างกันไป ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว“เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน” ได้ชื่อว่าเป็นชายผู้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ริชาร์ด ชาร์ลส์ นิโคลัส แบรนสัน เกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1950 ที่ เซาท์ลอนดอน ในครอบครัวชนชั้นกลางของอังกฤษ ซึ่งยึดอาชีพทางด้านกฎหมายจนกลายเป็นธรรมเนียมตกทอดของตระกูล มีบิดาชื่อ เท็ด แบรนสัน เป็นผู้พิพากษาและเป็นนักกฎหมาย ส่วนมารดาคืออีฟ ฮันต์ลีย์-ฟลินต์ แบรนสัน เคยเป็นทั้งนักเต้นรำและนักแสดงของโรงละคร และผันตัวเองมาเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแล้วได้พบรักกับ เท็ด แบรนสัน
ในวัยเด็กนั้นแม่ของริชาร์ด แบรนสัน มีอิทธิพลต่อชีวิตของริชาร์ด แบรนสันมาก มักจะสอนให้แบรนสัน ในเรื่องของความมุ่งมั่น ความกล้าหาญ สามารถพึ่งพาตนเองได้ ให้มีความรักในการผจญภัยต่างๆนานา นั้นทำให้ชีวิตในวัยเด็กนั้น ริชาร์ด แบรนสัน จึงมีความเด่นในด้านใช้ร่างกายมากกว่าสมอง เขาเป็นคนที่เล่นกีฬาได้เก่งมาก แต่ในเรื่องของการเรียนแล้วนั้นถือว่าแย่เลยที่เดียว จุดเปลี่ยนของชีวิตก็คือเขาประสบอุบัติเหตุที่ขาทำให้ไม่สามารถเล่นกีฬาได้ อีกต่อไป ขณะที่การเรียนที่แย่ ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่เขาเรียนอ่อนเพราะเป็นโรคดีสเล็กเซีย ซึ่ง โรคนี้เป็นโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการอ่าน อาการของโรคนี้คือเด็กอาจจะอ่านไม่ออก หรืออ่านได้บ้าง แต่สะกดคำไม่ถูก ผสมคำไม่ได้ สลับตัวพยัญชนะ สับสนกับการผันอักษร แบรนสันเองก็คิดว่าการเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่ยากลำบากมากสำหรับเขา โดยเฉพาะเวลาที่ต้องอ่านหนังสือ เขาจึงใช้วิธีเรียนรู้จากการลงมือทำ
โลก ใบนี้เป็นโลกที่ท้าทายสำหรับเขา และเป็นโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกวินาทีที่ผ่านไปของเขาล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ๆ เขารู้จักใช้โอกาสต่างๆที่เข้ามาในชีวิตอย่างชาญฉลาด ข้อสำคัญที่สุดคือเขาทำงานอย่างต่อเนื่องจนทำให้เขาประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยวัยเพียง 58 ปีเท่านั้น กลยุทธ์คือ การตั้งเป้าหมายความฝันไว้ก่อน และมองโลกอย่างท้าทาย พร้อมทั้งหาแนวทางธุรกิจใหม่ๆที่ยังไม่มีคู่แข่งขัน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการเดินไปบนถนนแห่งความสำเร็จที่ใครๆก็สามารถทำได้และ ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็น
เขามีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เขารู้จักใช้การสร้างตัวเองขั้นมาจนตัวเขาเองกลายเป็นแบรนด์ที่มีคนรู้จักและสนใจโดยไม่ต้องจ้างดารา ดังๆมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แก่สินค้าของเขาเลย เสมือนว่าทุกวันนี้เขากลายเป็นคนที่โด่งดังไปแล้วทั่วโลก บุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นบุคคลที่สื่อทุกประเภทให้ความสนใจอย่างสม่ำเสมอ เท่ากับเป็นการประชาสัมพันธ์องค์กรของเขาไปด้วย ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมแบรนด์ เวอร์จิ้น จึงกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอยู่เสมอโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาอะไร
แบรนสัน ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเป็นผู้บริหารที่ทำให้พนักงานใน องค์กรมีสำนึกในการเป็นคนในชุมชนเดียวกันมากที่สุดและทำให้พนักงานรักองค์กรมาก เขาพยายามให้พนักงานในองค์กรทำงานในเวอร์จิ้นด้วยความสนุกและมีความสุข เขาเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนงานให้กลายเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น จะทำให้ทัศนคติและผลงานของพนักงานต่างจากเดิมมาก ทุกวันนี้ แบรนสันยังคงทำหน้าที่เป็นประธานของเวอร์จิ้นกรุ๊ปที่ดูแลพนักงานถึง 35,000 คน
ความความสำเร็จในธุรกิจ ของ เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน
1. มีความมุ่งมั่น
หากจะบอกว่า ดื้อ ก็คงไม่เชิง เพราะความมุ่งมั่นของแบรนสันนั้น เขามุ่งมั่นเพื่อธุรกิจ มุ่งมั่นเพื่อผลกำไร เพื่อการเติบโต เพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่มุ่งมั่นเพื่อความชนะ โดยเฉพาะคนอื่น ๆ ยกเว้นคู่แข่งของเขาคือ บริติสแอร์เวย์
ความมุ่งมั่นของแบรนสันดูได้จากการการคิดและตัดสินใจของเขาในหนังสือ หลายเรื่อง มือเขาเห็นว่า มันน่าจะดีต่อธุรกิจ ต่ออนาคตของบริษัทเขาก็จะทำไม่มีเลยที่เขาจะมุ่งมั่นเพื่อตำแหน่ง แม้เพื่อนเขาจะมีเล่ห์กลเพื่อปลดเขาก็ตาม
ความ มุ่งมั่นของแบรนสันนั้นทำให้ก่อเกิดธุรกิจหลากหลายของเวอร์จิ้นขึ้น ซึ่งถ้าคิดตามทฎษฎีทางการตลาด หรือทางการจัดการแล้ว ไม่ใช่เลย แต่ด้วยสัญชาติญาณของนักปฏิบัติ มักจะมองแสงสว่างปลายถ้ำได้เสมอ
ซึ่งคำว่า “ทำเลย” เป็นคำที่แบรนสันชอบใช้ และเขามักทำได้ เนื่องจากมีเหตุจากข้อ 1 และ 2 นั่นเอง
เขากล้าลองผิดลองถูกเกือบทุกเรื่องที่เขาเห็นแล้วว่า ตนเองทำได้ แม้จะพลาดไปก็เยอะ แต่เมื่อบวกลบกันแล้ว เขาติดบวกมากกว่าลบ เพราะทำมากกว่าพูดนั่นเอง
2. ชอบการผจญภัย เสี่ยงตาย นักสู้
อันนี้เป็นข้อที่ดีตรงนี้ หากไม่ผจญภัยหรือลุยด้วยตนเองแล้ว ก็จะไม่รู้และไม่เห็นความเป็นจริง การเสี่ยงตายในการท่องบัลลูนของเขา ทำให้เขาเห็นสัจธรรมหลายอย่าง ซึ่งนำมาถึงการตัดสินใจหลาย ๆ อย่างของเขา การตัดสินใจของแบรนสันเกิดจากการค้นพบโดยตัวเขาเอง มิใช่จากตำราหรือจากปริญญาโท หรือ MBA ที่คนไทยโดยทั่วไปใช้เป็นสูตรสำเร็จ
นี่ถ้าหากว่า แบรนสันไม่มีข้อนี้ เขาก็คงเป็นพียงเจ้าของธุรกิจบันเทิงอย่างเดียว แต่เพราะชอบผจญภัยนี่เอง ธุรกิจของเขาจึงก่อเกิดขึ้นมากมาย ผมว่า ธุรกิจใหม่ ๆ ของเขาก็คือ การผจญภัยของเขาอย่างหนึ่งนั่นเอง
และอีกอย่าง การผจญภัยหรือการเสี่ยงตายอะไรนั้น แน่นอน คน ๆ นั้นย่อมต้องเกิดความศรัทธาในตนเองเกิดขึ้นด้วย ซึ่งถ้าความศรัทธาอยู่ในมุมของความมีเหตุมีผลและมีความมุ่งมั่น ก็น่าจะเป็นอย่างแบรนสันไม่ยาก ซึ่งข้อนี้ ผมว่า คนไทยมีอยู่มาก แต่มีไม่ต่อเนื่อง เนื่องจากขาดข้อ 1, 2 และ 3
3. มองหาโอกาสทุกวินาที
ทุกครั้งที่ธุรกิจไปได้ระยะหนึ่ง แบรนสันจะหาโอกาสเพื่อต่อยอดธุรกิจหรือเพื่อประกันความเสี่ยงให้กับธุรกิจ เสมอ แม้บางเรื่องอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ทางการจัดการหรือการบริหาร แต่ด้วยสัญชาติญาณ เขาก็หาโอกาสและคว้ามันมาได้เกือบทุกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการชี้ชวนให้คนมาลงทุน ซึ่งการปฏิบัติแต่ละครั้ง เขามักลงทุนด้วยตนเอง เข้าไปเจรจาเอง ซึ่งตรงนี้อาจจะมีจากที่เขาอยู่โรงเรียนประะจำในช่วงเด็ก ทำให้ต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลัก จนกระทั่งโต
ตรงนี้ หากมามองในมุมคนไทย ส่วนใหญ่ธุรกิจไหนก็ธุรกิจนั้น
4. เป็นนักเจรจา
ข้อนี้แม้จะไม่เด่นนัก เนื่องจากทุกครั้งที่ลูกน้องมีปัญหา เขาจะหนีปัญหาให้ผู้อื่นตัดสินใจแทน ไม่เอาตนเองเข้าไปอยู่กับปัญหา ยกเว้นปัญหาของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของบริษัท เขาจะเดินหน้า ซึ่งด้วยความสามารในการจูงใจผู้อื่น ไม่ว่าจะตั้งแต่การขอสปอนเซอร์เพื่อมาลงโฆษณาในการทำนิตยสาร Student หรือการพูดคุยกับนักลงทุน นักการธนาคารต่าง ๆ ถือได้ว่า แบรนสันต้องใช้ทักษะการโน้มน้าวใจมาก ไม่เช่นกันคงไม่สามารถเบิกเงินเกินบัญชีได้มากมาย แม้บางครั้งจะมีปัญหากับธนาคารก็เถอะ แต่ก็ลงเอยด้วย Happy Ending เสมอ
5. การทำงานเป็นทีม
นับแต่เรื่องนิตยสาร Student ของเขา ที่มีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจน แบรนสันไม่เคยก้าวก่ายงานคนอื่นเลย จนถึงงานในบ้าน ที่แม่ของเขาแบ่งหน้าที่กันระหว่างชายกับน้องสาว เขาก็ปฏิบัติมาด้วยดี
ให้ความสำคัญกับงานบ้านก่อนเสมอ หรือแม้แต่ช่วงหลัง ๆ เขาเองก็ไม่เคยก้าวก่าวงานของทีมงานเลย และก็แสดงความมั่นใจในทีมงานทุกครั้ง (ในบทความ) ซึ่งหายากในผู้บริหารคนไทยที่มักจะพบว่า “โง่ก็ตลาด ฉลาดก็ระแวง” หรือ “มึงเก่งกูระแวง มึงม่องแท่ง ก็ไปไกล ๆ กูซะ”
เข้า ทำนองเจ้านายคือซูปเปอร์แมน เก่ง แม้คนงานจะลาออกมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็คิดว่า กูเก่ง แม้ว่าปัญหานั้นจะมาจากคนเป็นเจ้าของบริษัทหรือกรรมการผู้จัดการหรือเจ้านาย ก็ตาม เขียนถึงเรื่องนี้แล้วเซ็ง เครียด เพราะเจอด้วยตนเองมาเยอะ
6. การสนุกที่จะทำงาน
แบรนสันจะเน้นเรื่องการจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องสนุก แม้ความสนุกของแบรนสันจะไม่ตรงความรู้สึกของเพื่อน ๆ ก็ตาม แต่ความสนุกของแบรนสันนั้น รวมไปถึง เล่นเป็นเวลา และทำงานเป็นเวลาด้วย ซึ่งจะสังเกตถึงงานอดิเรกหรือวันหยุดของเขา เขาจะเล่นหรือสนุกอย่างสุดเหวี่ยง และเวลาทำงานเขาก็จะทำงานอย่างสนุก โดยจะสังเกตว่า เวอร์จิ้นจะมีการจัดปาร์ตี้เพื่อให้พนักงานสามารถปลดปล่อยในช่วงสุดสัปดาห์ เสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้พนักงานแต่ละคนปลดเปลื้องตนเองออกจากงานแล้วสนุกกับ ปาร์ตี้ เหมือนชาร์ตแบตเตอรี่ยังไงยังงั้น
7. ความคิดเชิงธุรกิจ
จากการที่ชอบสนุกกับงาน บวกกับความเป็นครอบครัวที่สรรหาวิธีการหาเงิน (ทุกวิถีทาง) เข้าบ้านเสมอ ตั้งแต่พ่อแม่ที่ทำกล่องจากกระดาษที่ใช้แล้ว แล้วนำไปขายส่ง รวมทั้งน้าของเขาที่สามารถสร้าง The Black Sheep Company บริษัทขายเครื่องปั้นดินเผาที่ประดับด้วยรูปแกะจนประสบความสำเร็จ เป็นแบรนด์ที่สามารถยืนหยัดได้ถึง 40 ปี ตรงนี้ทำให้แบรนสันซึมซับความคิดเชิงธุรกิจอยู่ทุกวินาที ยิ่งผนวกกับข้อ 1, 2, 3, 5 และ 6 แล้ว ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า แบรนสันนั้น เขาธรรมดาอยู่บนความไม่ธรรมดา (งงอ่ะเปล่า)
8. ยอมรับความผิดพลาดของตนเองและไม่กลัวความล้มเหลว
หลายข้อความในหนังสือระบุว่า เขาเองยอมรับผิดในหลาย ๆ เรื่องและหาทางแก้ไขเสมอ ทว่า ความผิดของเขากลับไปคาราคาซังอยู่ที่ความคิดของเพื่อน ๆ ที่ไม่ยอมรับรู้ และไม่แก้ไขอะไร จนแบรนสันเองก็มักแก้ไขเองอยู่เนื่อง นี่เองที่ทำให้เขาเป็นตัวของตัวเอง มีความมั่นใน และไม่กลัวความผิดพลาด
สิ่งที่ประทับใจ : เซอร์ริชาร์ด แบรนสัน เป็นคนที่มุ่งมั่น เป็นคนที่มีเป้าหมายให้กับชีวิตของตนเองและต้องทำให้ได้ ข้อสำคัญที่สุดคือเขาทำงานอย่างต่อเนื่องจนทำให้เขาประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยวัยเพียง 58 ปี กลยุทธ์ก็คือ การตั้งเป้าหมายความฝันไว้ก่อน และมองโลกอย่างท้าทาย พร้อมทั้งหาแนวทางธุรกิจใหม่ๆที่ยังไม่มีคู่แข่งขัน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการเดินไปบนถนนแห่งความสำเร็จ สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้ที่สำคัญก็คือ การที่เขาฝึกคนในองค์กรให้มีความสามัคคีกัน ทำให้พนักงานทำงานด้วยความสนุกสนานและมีความสุขทำให้พนักงานทุกคนต่างรักเขา และทุ่มเทให้กับงานของเขา
แนวคิดที่ได้ : การที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้นทำได้โดยการมีความมุ่งมั้น ชอบการผจญภัย เสี่ยงตาย นักสู้ มองหาโอกาสทุกวินาที การทำงานเป็นทีม การสนุกที่จะทำงาน ยอมรับความผิดพลาดของตนเองและไม่กลัวความล้มเหลว การที่จะประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
"เราต้องมีเป้าหมายในชีวิต และลงมือทำ"