การสลายสารอาหารระดับเซลล์

สร้างโดย : นายปราโมทย์ ทองเนียม
สร้างเมื่อ พุธ, 08/10/2008 – 20:36
มีผู้อ่าน 422,813 ครั้ง (25/10/2022)
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/16868

            การสลายสารอาหารระดับเซลล์ หรือการหายใจระดับเซลล์ (Cellular Respiration) เป็นกระบวนการนำเอาสารอาหารที่ได้จากกระบวนการย่อยอาหารได้แก่ น้ำตาลกลูโคส (glucose) กรดอะมิโน (amino acid) และกรดไขมัน (fatty acid) ไปใช้สร้างเป็นพลังงาน โดยเก็บไว้ในรูปของสารที่มีพลังงานสูง ที่เรียกว่า ATP (Adenosine Triphosphate)

 ภาพที่ 1 โครงสร้างของ ATP
ที่มา : http://libraly.thinkquest.org/C004535/cellular_currency:_atp.html

            ATP เป็นสารที่มีพลังงานสูงทำหน้าที่เก็บพลังงานที่ได้จากกระบวนการสลายสารอาหารของเซลล์ ประกอบด้วย อะดีนีน (adenine) กับน้ำตาลไรโบส (ribose)  รวมเรียกว่าอะดีโนซีน (adenosine) แล้วจึงต่อกับหมู่ฟอสเฟต (P) 3 หมู่ พันธะที่เกิดขึ้นระหว่างหมู่ฟอสเฟตหมู่ที่ 2 และ 3 เป็นพันธะที่มีพลังงานสูง (สัญลักษณ์คือ ~) เมื่อสลายแล้วจะให้พลังงาน 7.3 กิโลแคลอรีต่อโมลในสิ่งมีชีวิต เซลล์จะมีการสลาย ATP โดย ATP จะเปลี่ยนเป็น ADP (adenosine diphosphate) หมู่ฟอสเฟตและปลดปล่อยพลังงานออกมา ดังสมการ

ATP –> ADP + P + Energy (พลังงาน)

            เพื่อให้ได้พลังงานสำหรับใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนั้นจึงต้องมีการสร้าง ATP ใหม่ขึ้นมาทดแทน กระบวนการสร้าง ATP เรียกว่า ฟอสโฟรีเลชัน (phosphorylation) คือการสร้าง ATP จาก ADP และหมู่ฟอสเฟตซึ่งจะเกิดเป็นวัฏจักร ดังภาพที่ 2 

ภาพที่ 2 วัฏจักรของ ATP

            กระบวนการสลายสารอาหารระดับเซลล์ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  1. ารสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic Respiration) เป็นกระบวนการที่มีกลไกเกิดต่อเนื่องกัน 3 ขั้นตอน คือ ไกลโคลิซิส (Glycolysis) วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) และการถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron transport chain)
  2. การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Respiration)หรือเรียกว่ากระบวนการหมัก (fermentation) 

            ไกลโคลิซิสเกิดในส่วนไซโทพลาสซึม (cytoplasm) หรือไซโทซอล (cytosol) ของเซลล์ เป็นขั้นตอนการสลายน้ำตาลกลูโคสที่มีคาร์บอน 6 อะตอม (C6) ไปเป็นกรดไพรูวิก (pyruvic acid) หรือไพรูเวท (pyruvate) ที่มีคาร์บอน 3 อะตอม (C3) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจะมีทั้งหมด 10 ขั้นตอน มีเอนไซม์ชนิดต่าง ๆ เข้ามาช่วยเร่งปฏิกิริยา กระบวนการไกลโคลิซิสสามารถสรุปเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ได้ 3 ขั้นตอน คือ

            ขั้นตอนที่ 1  น้ำตาลกลูโคส 1 โมเลกุล จะถูกสลายไปเป็นน้ำตาลฟรักโทส 1,6 บิสฟอสเฟต (fructose1,6-bisphosphate) ในขั้นนี้จะมีการใช้ ATP 2 โมเลกุล มาเติมหมู่ฟอสเฟต (P) ให้กับน้ำตาลกลูโคส ได้เป็นน้ำตาล fructose 1,6-bisphosphate 

            ขั้นตอนที่ 2  น้ำตาล fructose1,6-bisphosphate ถูกเปลี่ยนไปเป็น glyceraldehyde-3-phosphate และ dihydroxyacetate phosphate ซึ่งสารตัวนี้ไม่เสถียรจะถูกเปลี่ยนเป็น glyceraldehyde-3-phosphate หรือเรียกว่า PGAL (phosphoglyceraldehyde) ทำให้ได้ PGAL 2 โมเลกุล  

            ขั้นตอนที่ 3  PGAL 2 โมเลกุลจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนจนได้เป็นกรดไพรูวิก (pyruvic acid) หรือไพรูเวท (pyruvate) 2 โมเลกุล ซึ่งในขั้นตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการสร้าง ATP ทั้งหมด 4 โมเลกุล และมีการสูญเสียอิเล็กตรอนทั้งหมด 4 อิเล็กตรอน โดยมี NAD+ ทำหน้าที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอนเก็บไว้ในรูป NADH เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนต่อไป 

ภาพที่ 3 ขั้นตอนไกลโคลิซิส
ที่มา : 
http://library.thinkquest.org/27819/ch4_4.shtml

สรุปผลผลิตทีไ่ด้จากขั้นตอนไกลโคลิซิส

ปรับปรุงมาจาก
: http://porpax.bio.miami.edu/~cmallery/150/makeatp/sumgly.jpg

สรุปสมการไกลโคลิซิส  glucose + 2ADP + 2Pi——–> 2pyruvate + 2ATP

  NAD+ = Nicotinamide adenine dinucleotide
เป็นโคเอนไซม์ (coenzyme) ที่พบได้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอน (oxidizing qgent) ที่อยู่ในรูป NAD+
                                              NAD+   +  2e– + 2H+ —->    NADH   + H+
                                              oxidized                               reduced

ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) 

            เป็นออร์แกเนลล์ที่พบในเซลล์พวกยูคารีโอต มีโครงสร้างเป็นเยื่อหุ้ม 2 ชั้น คือเยื่อหุ้มชั้นนอก (outer membrane) และเยื่อหุ้มชั้นใน (inner membrane) ซึ่งจะพับเป็นรอยหยักเรียกว่า คริสตี (cristae) ภายในเยื่อหุ้มชั้นในจะเป็นของเหลวเรียกว่า แมทริกซ์ (matrix) และช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มชั้นนอกและชั้นใน เรียกว่า intermembrane space ไมโทคอนเดรียทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้าง ATP ของเซลล์ ที่เกิดจากกระบวนการหายใจแบบใช้ออกซิเจน 

ภาพที่ 4 โครงสร้างไมโทคอนเดรีย
ที่มา: http://www.unm.edu/~lkravitz/MEDIA2/mitochondria.gif

การสร้างอะเซทิลโคเอนไซม์ เอ (Acetyl Coenzyme A formation)

            ไพรูเวท (pyruvate) ที่ได้จากขั้นตอนไกลโคลิซิสจะถูกนำมาสร้างเป็น acetyl CoA ซึ่งจะเกิดขึ้นที่บริเวณไซโทซอลในพวกโปรคารีโอต และแมทริกซ์ (matrix) ของไมโทคอนเดรีย (พวกยูคารีโอต) ในขั้นนี้จะเกิด CO2 1 โมเลกุล และ NADH 1 โมเลกุล 

ภาพที่ 5 การสร้าง acetyl CoA
ที่มา : http://www.micro.siu.edu/micro201/chapter8N.html

สมการ   2Pyruvic acid + 2NAD+ + 2Coenzyme A ———-> 2Acetyl-CoA + 2CO2 + 2NADH

            วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) หรือวัฏจักรกรดซิตริก (Citric Acid Cycle) หรือ Tricarboxylic acid cycle (TCA) เกิดขึ้นที่บริเวณแมทริกซ์ของไมโทคอนเดรีย (ดูภาพที่ 4) สารตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นในวัฏจักรนี้คือ กรดซิตริก (citric acid) จึงเรียกว่าวัฏจักรกรดซิตริก ขั้นตอนการเกิดปฏิกิริยา เริ่มจาก

  1. acetyl CoA (2C) เข้ารวมกับออกซาโลแอซิเตต (oxaloacetate : 4C) เกิดเป็นซิเตรต (citrate) หรือกรดซิตริก (citric acid : 6C)
  2. citric acid (6C) เปลี่ยนเป็น ไอโซซิเตรท (iso-citrate : 6C)
  3. iso-citrate (6C) เปลี่ยนเป็น alpha-ketoglutarate (5C) ขั้นนี้เกิด CO2 1 โมเลกุล และ NADH 1 โมเลกุล
  4. alpha-ketoglutarate (5C) เปลี่ยนเป็นซัคซินิล โคเอนไซม์ เอ (succinyl CoA : 4C) ขั้นนี้เกิด CO2 1 โมเลกุล และ NADH 1 โมเลกุล
  5. succinyl CoA (4C) เปลี่ยนเป็นกรดซัคซินิค (sucinic acid : 4C) ขั้นนี้มีการสร้างพลังงาน ATP 1 โมเลกุล
  6. succinic acid (4C) เปลี่ยนเป็นกรดฟูมาริค (fumaric acid : 4C) ขั้นนี้เกิด FADH2 1 โมเลกุล
  7. fumaric acid (4C) เปลี่ยนเป็นกรดมาลิค (malic acid : 4C) ขั้นนี้ใช้น้ำ (H2O) ร่วมในปฏิกิริยา 1 โมเลกุล
  8. malic acid (4C) เปลี่ยนเป็นกรดออกซาโลอะซีติก (oxaloacetic acid) ขั้นนี้เกิด NADH 1 โมเลกุล

            ปฏิกิริยาส่วนใหญ่ของวัฏจักรเครบส์เป็นปฏิกิริยารีดอกซ์ทำให้ได้สารพลังงานสูง NADH และ FADH2 ออกมา ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการสร้าง ATP โดยวิธีออกซิเดทีฟฟอสโฟริเลชัน (oxidative phosphorylation) ในขั้นตอนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนต่อไป

ภาพที่ 6 วัฏจักรเครบส์
ที่มา: http://http://student.ccbcmd.edu/~gkaiser/biotutorials/cellresp/images/u4fg35.jpg

สรุปสมการ
Acetyl-CoA + 3NAD+ + FAD + GDP + Pi + 2H2O ——-> 3NADH + FADH2 + GTP + 2CO2 + 3H+ + CoA

            การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (electron transport chain : ETC) เกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียตรงส่วนที่เรียกว่า คริสตี (cristae) โดยจะเกิดขึ้นเป็นทอด ๆ ผ่านตัวนำอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นกลุ่มของโปรตีน (protein complex) ที่ฝังตัวอยู่บนเยื่อหุ้มชั้นใน ของไมโทคอนเดรีย กลุ่มโปรตีนเหล่านี้ ได้แก่ complex I, II, III และ IV ลำดับของการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแสดงไว้ ดังภาพที่ 5 นอกจากกลุ่มโปรตีน 4 กลุ่มนี้แล้ว บนเยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียยังมี โคเอนไซม์ Q และไซโตโครม c ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้เพื่อช่วยในการถ่ายทอดอิเล็กตรอนระหว่างกลุ่มโปรตีนเหล่านั้น เมื่ออิเล็กตรอนถูกส่งไปยังตัวรับตัวสุดท้ายก็จะมีออกซิเจน (O2) มาทำหน้าที่รับอิเล็กตรอนเป็นตัวสุดท้าย ได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำ (H2O) 

ภาพที่ 7 กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
ที่มา: http://porpax.bio.miami.edu/~cmallery/150/makeatp/c8.9×16.chemiosmosis.jpg

            ผนังชั้นในของไมโตคอนเดรียมีกลุ่มโปรตีนที่เรียก ATP synthase อยู่เป็นจำนวนมาก ATP synthase เป็นเอนไซม์ที่ประกอบด้วยหน่วยย่อยหลายหน่วย กลุ่มหนึ่งของหน่วยย่อยทำหน้าที่เป็นช่องให้โปรตอนผ่าน อีกกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่จับกับ ADP และ Pi เพื่อสร้าง ATP การส่งอิเล็กตรอนต่อเป็นทอด ๆ ในระบบถ่ายทอดอิเล็กตรอน ทำให้เกิดการสูบโปรตอนจากข้างในแมทริกซ์ผ่านเยื่อหุ้มชั้นใน ส่งผลให้ความเข้มข้นของโปรตอนในสองข้างของเยื่อหุ้มต่างกัน คือทางด้านแมทริกซ์จะต่ำและทางด้านช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้ม (intermembrane space) จะสูง และเกิดความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้ม โดยทางด้านแมทริกซ์จะเป็นลบ ทางด้านช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มเป็นบวก แรงที่เกิดจากความต่างศักย์ที่เยื่อหุ้มและความแตกต่างของความเข้มข้นของโปรตอน จะรวมกันเกิดเป็นแรงขับเคลื่อนโปรตอน เพื่อนำโปรตอนผ่านเยื่อหุ้มชั้นในกลับไปยังแมทริกซ์ โดยมี ATP synthase ทำหน้าที่เป็นช่องทางผ่าน การผ่านของไฮโดรเจนอิออนทำให้เกิดพลังงานที่ช่วยผลักดันให้เกิดการสร้าง ATP โดยการรวมตัวของ ADP กับฟอสเฟตโดยการควบคู่พลังงาน

สรุปการหายใจระดับเซลล์ เมื่อสลายน้ำตาลกลูโคส 1 โมเลกุล

ภาพที่ 8 แผนผังสรุปพลังงานที่ได้จากการหายใจระดับเซลล์
ที่มา : http://eesc.columbia.edu/courses/ees/slides/life/glucose_oxidation.gif

สรุปพลังงานทั้งหมดที่ได้จากกระบวนการสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน

 ATP ที่ใช้ATP ที่ได้NADH ที่ได้FADH2 ที่ไ ด้
 Glycolysis– 
 Pyruvate to Acetyl CoA– – – 
Krebs Cycle – 
 รวมทั้งหมด6-2 = 4 10 
ตารางปรับปรุงจาก http://departments.org.edu/biology/bio130/lectures_2000/metabolic_products.htm

            การสร้างพลังงานของเซลล์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนพบว่า จะได้พลังงาน ATP 32 หรือ 34 ขึ้นอยู่กับ

  • การสลายสารอาหารที่เกิดขึ้นที่เซลล์สมองและเซลล์กล้ามเนื้อลาย NADH จากไกลโคลิซิส 1 โมเลกุล จะนำมาสร้าง ATP ได้ 2 โมเลกุล
  • การสลายสารอาหารที่เกิดขึ้นที่เซลล์ตับ ไตและกล้ามเนื้อหัวใจ NADH จากไกลโคลิซิส 1 โมเลกุล จะนำมาสร้าง ATP ได้ 3 โมเลกุล
  • NADH ที่ได้่จากการเปลี่ยนกรดไพรูวิกไปเป็นอะซิทิลโคเอนไซม์ เอ จะนำมาสร้าง ATP ได้ 3 โมเลกุล
  • NADH ที่ได้จากวัฏจักรเครบส์ 1 โมเลกุล จะนำมาสร้าง ATP ได้ 3 โมเลกุล
  • FADHที่ได้จากวัฏจักรเครบส์ 1 โมเลกุล จะนำมาสร้าง ATP ได้ 2 โมเลกุล

            พลังงานทีไ่ด้จากการเปลี่ยน NADH และ FADH2 ทั้งหมดในกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนของเซลล์บางชนิด เช่น
            เซลล์กล้ามเนื้อลายหรือเซลล์สมอง จะได้ 32 ATP เมื่อรวมกับ ATP ที่สร้างจากไกลโคลิซิส 2 โมเลกุล และวัฏจักรเครบส์อีก2 โ มเลกุล จะได้รวมทั้งหมด 32 + 4 = 36 ATP
            เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ ไต หรือเซลล์ตับ จะได้ 36 ATP เมื่อรวมกับ ATP ที่สร้างจากไกลโคลิซิส 2 โมเลกุล และัวัฏจักรเครบส์อีก 2 โมเลกุล จะได้รวมทั้งหมด 34 + 4 = 38 ATP

การสลายลิพิดและโปรตีน

            กรดไขมัน (fatty acid) และกลีเซอรอล (glycerol) ที่ได้จากการย่อยลิพิด (Lipid) เมื่อลำเลียงเข้าสู่เซลล์กรดไขมันจะถูกเปลี่ยนเป็นแอซิทิลโคเอนไซม์ เอ (acetyl CoA) โดยกระบวนการเบต้าออกซิเดชัน (β-oxidation) แล้วนำเข้าสู่วัฏจักรเครบส์ ส่วนกลีเซอรอลจะถูกเปลี่ยนเป็น glyceraldehyde-3-phoshate (PGAL) และเข้าสู่วิถีไกลโคลิซิสต่อไป

            สำหรับการสลายกรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด สามารถถูกออกซิไดซ์ไปเป็นโมเลกุล 7 ชนิด คือ ไพรูเวต (pyruvate) อะเซทิลโคเอนไซม์ เอ (acetyl CoA) แอลฟา-คีโตกลูทาเรต (alpha-ketoglutarate) ซัคซินิลโคเอนไซม์ เอ (succinyl CoA) ฟูมาเรต (fumarate) และออกซาโลอะซิเตท (oxaloacetate) โดยสารเหล่านี้ต่างเป็นสารตัวกลางในวัฏจักรเครบส์ (ภาพที่ 9) 

ภาพที่ 9 แสดงการสลายของกรดอะมิโนทั้ง 20 ชนิด
ที่มา : http://bp3.blogger.com/_RwImi7fpOgs/R7ALnuW3yXI/AAAAAAAAAPk/Jfd4S2Z2HkE/s1600-h/Pathways_amino_acid.jpg

            กรดอะมิโนที่สลายไปเป็น acetyl CoA เรียกว่ากรดอะมิโนคีโตเจนิก (Ketogenic) ส่วนกรดอะมิโนที่สลายไปเป็น pyruvate, alpha-ketoglutarate, succinyl CoA, และ oxaloacetate เรียกว่ากรดอะมิโนกลูโคเจนิก (Glucogenic)

            ก่อนที่กรดอะมิโนจะเปลี่ยนเป็นสารประกอบตัวใด จะต้องกำจัดหมู่อะมิโน (-NH2) ออกจากโมเลกุลก่อนด้วยกระบวนการที่เรียกว่า deamination  ส่วนหมู่อะมิโนที่หลุดออกมาจะเป็นพิษกับเซลล์ จึงต้องกำจัดออกไปในรูปของยูเรียหรือกรดยูริก 

            การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนหรือเรียกว่ากระบวนการหมัก (fermentation) ในสภาพที่เซลล์ขาดออกซิเจนทำให้ NADH และ FADH2 ไม่สามารถถ่ายทอดอิเล็กตรอนให้กับตัวรับอิเล็กตรอนชนิดต่าง ๆ ในไมโทคอนเดรียได้ จึงทำให้เซลล์ขาด NAD+ และ FAD ทำให้กลไกไกลโคลิซิสหยุดชะงัก เซลล์จึงแก้ปัญหาโดยการใช้สารอื่นมาเป็นตัวรับอิเล็กตรอนแทนออกซิเจน จึงทำให้กลไกการสลายสารอาหารดำเนินไปได้ แต่พลังงานที่ได้จะน้อยกว่าการสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน

            การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน มีกลไกการเกิดได้ 2 แบบ คือ

1. การหมักแอลกอฮอล์ (Alcoholic fermentation)

            alcoholic fermentation พบในแบคทีเรียและยีสต์ ในกระบวนการนี้กรดไพรูวิกที่ได้จากกระบวนการไกลโคลิซิสจะถูกเปลี่ยนเป็นอะซิทัลดีไฮด์ (acetaldehyde) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากนั้น acetaldehyde ถูกออกซิไดซ์เปลี่ยนเป็นเอธิลแอลกอฮอล์ (Ethyl alcohol) ดังภาพที่ 10

ภาพที่ 10 กระบวนการหมักแอลกอฮอล์
ที่มา : http://www.emc.maricopa.edu/faculty/farabee/BIOBK/BioBookGlyc.html

2. การหมักกรดแลคติก (Lactic acid fermentation)

            พบในแบคทีเรียบางชนิด ในคนพบในเซลล์กล้ามเนื้อในสภาพที่ขาดออกซิเจนหรือมีปริมาณออกซิเจนน้อย เช่นทำงานหนักหรือออกกำลังกาย กรดไพรูวิกจะทำหน้าที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอน เกิดเป็นกรดแลคติก (Lactic acid) ดังภาพที่ 11

ภาพที่ 11 กระบวนการหมักกรดแลคติก
ที่มา : http://porpax.bio.miami.edu/~cmallery/150/makeatp/c8.9x18b.lactic.acid.jpg

            การสลายสารอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนอิเล็กตรอนไม่ได้ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน ดังนั้นพลังงาน ATP ที่ได้จึงเกิดน้อยกว่าการสลายสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน พลังงาน ATP ที่เกิดขึ้นจะได้มาจากขั้นตอนไกลโคลิซิส 2 ATP ส่วนกรดแลคติกที่เกิดขึ้นจะถูกลำเลียงออกจากเซลล์กล้ามเนื้อไปยังตับ เพื่อสังเคราะห์กลับเป็นน้ำตาลกลูโคสซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ต่อไปได้

ภาพที่ 12 การสังเคราะห์กรดแลคติกไปเป็นน้ำตาลกลูโคสที่ตับ (Cori Cycle)
  1. ในกระบวนการหายใจแบบใช้ออกซิเจน คาร์โบไฮเดรตจะถูกสลายไปเป็น
        ก. Acetyl CoA             ข. O2
        ค. CO2                        ง. พลังงาน
  2. พลังงาน ATP ที่ได้ส่วนใหญ่ในพวกยูคารีโอตถูกสร้างมาจาก
        ก. mitochondria           ข. nucleus
        ค. cytoplasm                ง. rough endoplasmic reticulum
  3. พลังงาน ATP ที่ได้จากกระบวนการหายใจแบบใช้ออกซิเจนส่วนใหญ่ถูกสร้างมาจากกระบวนการใด
        ก. Glycolysis                 ข. การสร้าง acetyl CoA
        ค. Krebs cycle              ง. Electron transport chain
  4. ในกระบวนการหายใจแบบใช้ออกซืเจน น้ำตาลกลูโคส 1 โมเลกุล ถูกนำไปใช้สร้าง ATP ได้กี่โมเลกุล
        ก. 2                           ข. 30
        ค. 38                         ง. 32
  5. ข้อใดคือผลผลิตที่เกิดจากกระบวนการไกลโคลิซิส
         ก. pyruvate                ข. ATP
         ค. NADH                   ง. ถูกทุกข้อ
  6. สารประกอบรูปรีดิวซ์ (reduced compound) ที่พบได้ในขั้นตอนไกลโคลิซิส คือสารใด
        ก. pyruvate                 ข. NAD+
        ค. lactate                    ง. H2O
  7. ตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายในกระบวนการหายใจแบบใช้ออกซิเจนคือ
        ก. CO2                        ข. O2
        ค. H2O                        ง. NAD+
  8. ในสภาพที่มีออกซิเจน เซลล์จะสังเคราะห์ ATP ผ่านกระบวนการไกลโคลิซิส แต่ถ้าเซลล์อยู่ในสภาวะขาดออกซิเจนการสังเคราะห์ ATP จะเกิดผ่านกระบวนการใด
        ก. Fermentation                           ข. Aerobic respiration
        ค. Oxidative phosphorylation      ง. Photophosphorylation
  9. กระบวนการ fermentation จะให้พลังงานทั้งหมดกี่ ATP
        ก. 38                     ข. 36
        ค. 30                     ง. 2
  10. ขั้นตอนใดของการหายใจแบบใช้ออกซิเจนที่ต้องการพลังงาน ATP
          ก. Glycolysis                              ข. Krebs cycle
          ค. Electron transport cahin       ง. Fermantation