โลกมหัศจรรย์ของไข่

สร้างโดย : นางสาวอรกุล ไวว่อง และนางสาวอุษณีย์ ลายรัตน์
สร้างเมื่อ พฤ, 28/10/2010 – 18:48
มีผู้อ่าน 113,052 ครั้ง (09/01/2023)
ที่มา : http://www.thaigoodview.com/node/81754
รางวัลรองชนะเลิศ ประเภทสื่อออนไลน์ ระดับชั้น ม.4 – ม.6
โครงการประกวดสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ (Digital Learning Contest) ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553
ชิงถ้วยรางวัลพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

โลกมหัศจรรย์ของไข่

สื่อการเรียนรู้ ระดับชั้น ม.4 – ม.6
เรื่อง “โลกมหัศจรรย์ของไข่”

เรื่องราวที่ปรากฏภายใน “สื่อการเรียนรู้” นี้
ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอาหารมื้อเช้า
ที่คุณพ่อของดิฉันได้ทำให้กินก่อนไปโรงเรียนอยู่เสมอ 
เพื่อนๆ คงเดาได้ไม่ยากหรอกค่ะ
ว่ามันคือสารพัดเมนู “ไข่” นั่นเอง 
ทั้งไข่ดาว ไข่ลวก ไข่เจียว ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ฯลฯ

ดิฉันก็ได้คันพบว่าตัวเองได้เจอกับสิ่งมหัศจรรย์เข้าแล้ว 
แน่นอนว่าเมื่อเรามีสิ่งดีๆ ก็อยากแบ่งปันให้เพื่อนได้รับสิ่งดีๆ นั้นบ้าง 
ดิฉันจึงได้ขอความกรุณาจากคุณครูอรกุล ไวว่อง ครูผู้สอนคหกรรมศาสตร์
ได้ร่วมกันจัดทำ “สื่อการเรียนรู้” นี้ ซึ่งประกอบไปด้วยสิ่งที่ดิฉันได้พบเห็น
และสิ่งที่ได้จากประสบการณ์ของคุณครู 
พร้อมกันหรือยังคะ ที่จะเริ่มผจญภัยเข้าไปสู่ “โลกมหัศจรรย์ของไข่”

ถ้าพร้อมแล้วก็เลื่อนลงไปดูเนื้อหาข้างล่างกันได้เลยค่ะ 

ตอนที่ 1   การถือกำเนิดของ “ไข่” อาหาร ยอดนิยมระดับโลก
ตอนที่ 2   หลายเหตุผลที่ทำให้คนต้องกิน “ไข่”
ตอนที่ 3   ลองดูกันสักนิด มี “ไข่” ชนิดใดบ้างที่คนนิยมบริโภค
ตอนที่ 4   สารอาหารใน “ไข่” กับสิ่งที่คุณคาดไม่ถึง
ตอนที่ 5   ควรกิน “ไข่” วันละกี่ฟอง นักวิชาการมีคำตอบ

ตอนที่ 6   เลือกซื้อ “ไข่” อย่างไร ให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพดี
ตอนที่ 7   การเก็บรักษา “ไข่” ในบ้าน อย่างถูกวิธี
ตอนที่ 8   จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเก็บ “ไข่” ไว้นาน
ตอนที่ 9   สีสันของ “เปลือกไข่” กับความนัยที่แอบแฝง
ตอนที่ 10 “เปลือกไข่” ไม่ไร้ประโยชน์อย่างที่คิด

ตอนที่ 11  10 อันดับประเทศที่บริโภค “ไข่” มากที่สุดในโลก
ตอนที่ 12  เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่ดาว
ตอนที่ 13  เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่เจียว
ตอนที่ 14  เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่ต้ม
ตอนที่ 15  เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่ตุ๋น

ตอนที่ 16  เรื่องน่ารู้ของ “ไข่” กับสิ่งที่คุณอาจยังไม่เคยรู้
ตอนที่ 17  สวยได้ด้วย “ไข่”
ตอนที่ 18  เฉลยปัญหาโลกแตก “ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน”
ตอนที่ 19  มารู้จัก “ไข่” ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกกันเถอะ
ตอนที่ 20  ทายนิสัยจากเมนู “ไข่” ที่ชอบ


http://www.nataliedee.com/090805/eat-some-ok.jpg

“ไข่” แท้จริงแล้วคือ สิ่งที่ห่อหุ้มตัวอ่อนของสัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์น้ำ และแมลงบางประเภท

                    ส่วนประกอบที่สำคัญของไข่

http://www.nsru.ac.th/e-learning/animals/image_lesson/10/10.12.png

เปลือกไข่ (egg shell) ในเปลือกไข่จะมีคอลลาเจนสานเป็นตัวตาข่าย และมีแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เปลือกแข็ง เปลือกไข่จะมีรูขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหมด อากาศและความชื้นสามารถแทรกผ่านรูเล็กๆ ที่อยู่ในไข่ได้ อากาศจำเป็นสำหรับตัวอ่อนหายใจ เมื่อไข่ออกมาใหม่ๆ จะมีเมือกเคลือบที่เปลือกไข่ด้านบน เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศและน้ำผ่านเข้าไปได้ เปลือกไข่ในช่วงแรกๆ จึงมีลักษณะเป็นนวล เมื่อเก็บไว้นานๆ เมือกเหล่านี้จะแห้งไป เปลือกไข่จึงมีอากาศถ่ายเทเข้าออกได้มากขึ้น ทำให้ไข่เสียเร็ว

– เยื่อหุ้มไข่ (membrane) มีอยู่ด้วยกัน 2 ชั้น ชั้นนอกที่ติดเปลือกมีชื่อเรียกว่า shell membrane ชั้นในที่ติดกับไข่ขาวเรียกว่า egg membrane เยื่อชั้นนอกและชั้นในจะชิดกันตลอด แต่แยกกันที่ด้านป้านของไข่ซึ่งมีโพรงอากาศ

– โพรงอากาศ (air cell) เป็นช่องว่างที่อยู่บริเวณด้านป้านของไข่ อยู่ระหว่างเยื่อหุ้มชั้นนอกและเยื่อหุ้มชั้นใน เมื่อไข่ออกมาใหม่ๆ อุณหภูมิของไข่ยังสูง จึงไม่มีช่องว่าง ต่อเมื่อเมื่อไข่เย็นลง ของเหลวภายในไข่หดตัว ทำให้เกิดเป็นโพรงอากาศขึ้น และถ้าหากมีน้ำระเหยออกไปมาก ก็จะทำให้โพรงอากาศใหญ่ขึ้นด้วย

– ไข่ขาว (albumen) มีทั้งหมด 3 ชั้น ไข่ขาวชั้นนอกสุดจะค่อนข้างเหลว อยู่ติดกับเยื่อหุ้มไข่ ถัดมาเป็นไข่ขาวข้น มีปริมาณมากกว่าครึ่งของไข่ขาวทั้งหมด ส่วนชั้นในสุดเป็นไข่ขาวอย่างเหลว ในไข่ขาวประกอบด้วยน้ำและโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ มีไขมันบ้างเล็กน้อย ลักษณะที่เป็นเมือกของไข่ขาวข้น เกิดจากคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่

– ไข่แดง (yolk) จะอยู่บริเวณกลางฟองโดยการยืดของเยื่อที่เป็นเกลียวแข็ง อยู่ด้านหัวและท้ายของไข่แดง และยื่นเข้าไปในไข่ขาว ไข่แดงมีความเข้มข้นมากกว่าไข่ขาว เพราะมีน้ำน้อยกว่า มีไขมันและโปรตีนมากกว่า

     “ไข่” ได้กลายมาเป็นอาหารของคนเมื่อใด ไม่มีบันทึกไว้แน่ชัด แต่มีการพบหลักฐานหลายอย่างที่บอกได้ว่า “ไข่” เป็นอาหารยอดนิยมมาตั้งแต่ยุคโบราณ เช่น ชาวโรมันโบราณกินไข่นกยูง ชาวอียิปต์กินไข่นกกระทุง ไข่นกกระจอกเทศ บันทึกของชาวจีนเมื่อ 5,400 ปีก่อน ก็พบการนำไข่สัตว์ปีกมาทำอาหาร ด้วยความเชื่อที่ว่า “ไข่” เป็นอาหารชั้นดี ทำให้ในโลกนี้เต็มไปด้วยอาหารเมนูไข่อร่อยมากมายในทุกชนชาติ และ “ออมเลต” ถือว่าเป็นเมนูป๊อปปูล่ามากที่สุดในโลก

     สำหรับเมนูยอดนิยมของไข่ดิบ คือ “Eggnog” ที่นำไข่แดงมาปั่นผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อใช้แก้อาการเมาค้าง

     ส่วนไข่แดงนั้น นิยมนำมาทำพวกซอสต่างๆ เพื่อช่วยชูรสอาหารให้อร่อยขึ้น เช่น เอามาตีกับน้ำมัน ปรุงรสเกลือ น้ำส้มสายชูหรือมัสตาร์ด กลายเป็น “มายองเนส” ถ้าเติมกระเทียมสดลงไปจะกลายเป็น “ซอสไอโอลี (Aioli sauce)” และถ้าเติมหัวหอมสับและผักดองสับเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไป จะแปลงร่างเป็น “ซอสทาร์ทาร์ (Tartar sauce)”

     สุดท้ายสำหรับเมนูยอดนิยมของไข่ขาวนั้น เห็นทีจะไม่พ้น “เมอแรง” ที่อบแบบแห้งกว่าหน้าขนมพาย จนละลายบนลิ้นทันทีที่ได้กิน

แหล่งอ้างอิง
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no12/eggpic.html
http://www.eggs4u.net/index.php?name=news&file=readnews&id=19

     อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหาร ได้ทำการตีพิมพ์หนังสือเรื่อง “เมนูไข่…ไข่…ไข่…” ซึ่งภายในได้ให้เหตุผลเกี่ยวกับการบริโภคไข่ไว้อย่างน่าสนใจ จึงขอนำข้อความบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

เหตุผลสำคัญที่คนจำเป็นต้องกิน “ไข่”

1. ไข่ไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง
     ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำให้ไขมันในเลือดสูงคือ ไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู และที่ร้ายที่สุดคือ ไขมันแปรสภาพ ที่เกิดจากการนำไขมันพืชไปเติมไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม ที่ใช้ทำเบเกอรี สำหรับไข่ 1 ฟองแม้จะมีโคเลสเตอรอลมากถึง 210 มิลลิกรัม แต่ผลการศึกษาวิจัยกลับพบว่า คนที่กินไข่สัปดาห์ละ 4 ฟองมีโคเลสเตอรอลต่ำกว่าคนที่กินไข่สัปดาห์ละ 1 ฟองหรือไม่กินไข่เลย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ไข่มีโปรตีนสูงและมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างต่ำ ทำให้อิ่มนาน และความอิ่มนี่เองมีส่วนทำให้กินอาหารที่มีไขมันสูงลดลง

http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2008/10/17/article-1078461-0224DCD7000005DC-283_468x524.jpg

2. ไข่มีโคลีนสูง
    โคลีน (choline) เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผนังเซลล์ของสมองและเซลล์ประสาท ไข่ 1 ฟองให้โคลีนมากกว่า 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน การกินไข่จึงทำให้โอกาสขาดสารอาหารลดลงไปมาก นอกจากนั้นโคลีนในไข่ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการต้าน (ลด) การอักเสบที่ผนังหลอดเลือด ต้นเหตุสำคัญของภาวะไขมันอุดตันในเส้นเลือด เนื่องจากผนังหลอดเลือดที่มีการอักเสบจะบวม และสูญเสียความ “เรียบลื่น” ทำให้คราบไขมันไปพอก หรือเกล็ดเลือดไปเกาะกลุ่มได้ง่าย

3. ไข่แดงบำรุงสายตาได้อย่างดี
    ไข่แดงอุดมไปด้วยลูทีน-ซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีหรือสารคุณค่าพืชผักกลุ่ม “สีเหลือง-แสด” ช่วยปัองกันจอรับภาพ (retina) โดยทำหน้าที่เป็นตัวกรองแสงสีน้ำเงินหรือฟ้า และรังสี UV (ultraviolet) ทำให้ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตาเสื่อมสภาพหรือตาบอดในคนสูงอายุลดลง

แหล่งอ้างอิง
http://phezeronix.com

http://www.fotosearch.com/bigcomp.asp?path=CSP/CSP369/k3693128.jpg

     “ไข่” ที่คนไทยนิยมนำมาบริโภค ส่วนใหญ่จะเป็นไข่ของสัตว์ปีก เช่น ไข่ไก่, ไข่เป็ด, ไข่ห่าน, ไข่นกกระทา รองลงมาก็จะเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น ไข่ปลา, ไข่กุ้ง, ไข่ปู สำหรับไข่ของสัตว์เลื้อยคลานและแมลงที่เป็นที่นิยมก็มี ไข่เต่า, ไข่แมงดา และไข่มดแดง และอาจจะมีชนิดอื่นๆ อีกตามค่านิยมการบริโภคในท้องถิ่น มีนักวิชาการได้ทำการเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการของไข่ชนิดต่างๆ ไว้ ตามตารางด้านล่างนี้

ตารางแสดงปริมาณสารอาหารในไข่ชนิดต่างๆ (แสดงค่าต่อ 100 กรัม)

แหล่งอ้างอิง
http://fic.ifrpd.ku.ac.th/fic/index.php/th/simplelist/262-egg-col.html

     “ไข่” เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทุกตัว ยกเว้นวิตามินซีและไนอาซีน สารอาหารในไข่ ประกอบด้วย

1. โปรตีน โปรตีนในไข่เป็นโปรตีนชนิดสมบูรณ์ มีประสิทธิภาพในการดูดซึมสูงกว่าโปรตีนชนิดอื่น รวมทั้งมีกรดอะมิโนจำเป็น ซึ่งเป็นโปรตีนพิ้นฐานที่ร่างกายต้องการและไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
2. ธาตุเหล็ก เหล็กเป็นธาตุอาหารที่มีในไข่แดงมาก เหล็กช่วยเสริมสร้างเม็ดเลือดแดง และช่วยนำออกซิเจนจากปอดไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ถ้าร่างกายขาดเหล็กจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้
3. ฟอสฟอรัสและแคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน หากขาดจะทำให้กระดูกและฟันไม่แข็งแรง กระดูกจะผุหรือหักได้ง่าย
4. วิตามินเอ ช่วยบำรุงสุขภาพตา ปรับสภาพให้มองเห็นได้ทั้งในความมืดและในที่สว่าง และยังช่วยรักษาสภาพผิวให้สดชื่น ไม่แห้งเหี่ยว ช่วยบำรุงเยื่อบุต่างๆ ในร่างกาย และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค

http://eggs.ab.ca/images/kids-section/contents.gif

5. วิตามินบี 2 ช่วยบำรุงผิว บำรุงประสาทนัยน์ตา ลิ้นและริมฝีปาก ป้องกันโรคปากนกกระจอก
6. แคโรทีนอยด์ ช่วยลดภาวะกล้ามเนื้อเสื่อม และปัญหาสายตาในผู้สูงอายุ
7. โคลิน ช่วยในการทำงานของระบบประสาท ในเรื่องความจำและการเรียนรู้
8. กรดโฟลิค, วิตามินบี 6, วิตามินบี12 ช่วยลดระดับโฮโมซิสเทอีน (homocysteine) ซึ่งถ้ามีมากจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ
9. สังกะสี ช่วยสร้างเอ็นไซม์ที่สำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
10. ซัลเฟอร์ ช่วยลดการอักเสบ และขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
|11. แมกนีเซียม ช่วยในการเจริญเติบโต และบำรุงรักษากระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยในการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายด้วย

     นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น ยังมี วิตามิน ดี อี เค เลซิติน ไอโอดีน ซีลีเนียมไนอะซิน ไรโบเฟลวิน โพแทสเซียม โซเดียม คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และน้ำ ซึ่งล้วนจำเป็นต่อร่างกาย รวมอยู่ด้วย

     วันนี้คุณกินไข่แล้วหรือยัง ?

แหล่งอ้างอิง
http://naikasi.blogspot.com/2009/07/blog-post_29.html
http://guru.sanook.com/pedia/topic//เรื่องน่ารู้
http://www.thaiclinic.com/medbible/egg.html
http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=32485

        ควรกิน “ไข่” วันละกี่ฟองดี เป็นปัญหาคาใจของใครหลายๆ คนมานาน ตอนนี้นักวิชาการมีคำตอบให้เราแล้ว โดย ศ.นพ. รุ่งธรรม ลัดพลี ได้กล่าวไว้ในระหว่างการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่” มีใจความสำคัญว่า

http://www.co2partners.com/cardgame/
images/professor.gif

        “จากค่านิยมเดิมๆ ที่ทราบกันว่า การกินไข่ทุกวันนั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด อยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง สำหรับโรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การกินไข่ทุกวันๆ ละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก และผู้สูงอายุสามารถกินไข่ได้ทุกวัน ไม่มีปัญหาดังที่เราเข้าใจกันแบบผิดๆ ผู้สูงอายุหลายคนกินไข่วันละ 2 ฟอง ตามที่คุณหมอแนะนำ ผลก็คือ อาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่, ไข่เป็ด, ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆ ชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม”

แหล่งอ้างอิง
http://variety.teenee.com/foodforbrain/4537.html

     เพื่อนๆ อาจจะเคยเลือกซื้อ “ไข่” โดยดูจากสีของเปลือกไข่เป็นหลัก แท้จริงแล้วสีของเปลือกไข่ไม่ได้บ่งบอกถึงคุณค่าทางอาหารในไข่ เพราะสีของเปลือกไข่ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของไก่และอาหารที่ไก่กิน ขนาดของไข่ต่างหากที่จะบอกถึงคุณค่า เพราะไข่ฟองโตย่อมมีสารอาหารมากกว่าไข่ฟองเล็ก และคุณค่าอาหารจึงมากกว่าตามไปด้วย ดังนั้นการเลือกซื้อ “ไข่” จึงควรดูจากขนาดและความสดใหม่ของไข่ ไม่ใช่สีของเปลือกไข่ โดยมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ ในการเลือกซื้อ ดังนี้

http://www.tnews.co.th/html/picture/tnews_1278324712_1445.jpg
  1. ไข่โดยทั่วไปจะมีทั้งไข่ทรงรีและไข่ทรงกลม การเลือกไข่ควรเลือกไข่ที่ทรงกลมเพราะถ้าไข่ขนาดเท่ากัน ไข่ทรงกลมจะมีน้ำหนักมากกว่าไข่ทรงรี
  2. ไข่ฟองโตจะมีปริมาณของไข่ขาวมาก ฉะนั้นหากต้องการใช้ไข่ขาวมากให้เลือกฟองโต ส่วนปริมาณไข่แดงจะมีปริมาณใกล้เคียงกัน ไม่แตกต่างกันมากนัก การเลือกไข่ฟองโตหรือฟองเล็ก ควรเลือกตามลักษณะการใช้
  3. ไข่สดดูจากเปลือกไข่ ไข่ไก่ที่สดจะมีผิวคล้ายแป้งฉาบติดอยู่ จับดูแล้วเนียนมือหากเปลือกไข่ลื่นมันแสดงว่าไข่เก่าแล้ว
  4. ไข่ที่สดใหม่หากส่องดูกับแสงแดดจะมีสีออกแดงเล็กน้อย มีลักษณะโปร่งแสง เห็นไข่แดงกับไข่ขาวแยกกันอย่างชัดเจนไข่ที่เสียจะทึบแสง ไข่แดงกระจายตัว มีจุดเงาดำ หรือเป็นสีดำทึบทั้งฟองแสดงว่าไข่เน่า
  5. เขย่าไข่ดูถ้าเป็นไข่สดจะมีเสียงทึบๆถ้าเป็นไข่เก่าเสียงจะก้อง
  6. อาจทดสอบโดยการแช่น้ำ ไข่สดจะจมน้ำ ไข่เก่าจะลอยอยู่ใต้ผิวน้ำ ถ้าเป็นไข่ที่เน่าเสียก็จะลอยเหนือน้ำ
  7. สภาพเปลือกต้องไม่ชำรุดบุบสลาย เพราะเปลือกไข่ที่เห็นว่าแข็งนั้น แท้จริงแล้วมีรูพรุนเต็มไปหมด ถ้าเปลือกบุบไปสักนิดเดียวก็สามารถรับเอาความสกปรกและเชื้อโรคเข้าไปได้

แหล่งอ้างอิง
http://www.agriinfo.doae.go.th/year52/knowledge/km_27-01-52.doc
http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=545.0;wap2

    การเก็บรักษา “ไข่” ในบ้าน อย่างถูกวิธี จะช่วยคงไว้ซึ่งคุณภาพเดิมของไข่เท่าที่จะทำได้ โดยหลักการในการเก็บรักษา มีดังนี้

1. เลือกเก็บเฉพาะไข่ที่ออกใหม่ เปลือกสะอาด เพราะถ้าเปลือกสกปรก อาจทำให้จุลินทรีย์เข้าไปในไข่ได้
2. ไม่ล้างไข่ก่อนถึงเวลาทำอาหาร เพราะจะเป็นการล้างเอาเมือกที่เคลือบรอบเปลือกไข่ออกด้วย ทำให้น้ำระเหยออกจากไข่มากขึ้น
3. เก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ เช่น ตู้เย็น, ตู้แช่
4. เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดมิดชิด และไม่ควรเก็บรวมกับอาหารอื่นที่มีกลิ่นฉุนอย่างกะปิ น้ำปลา เพราะปลือกไข่มีรูพรุนทำให้สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ ได้ง่าย
5. ขณะที่วางไข่ในที่เก็บ ควรวางให้ด้านป้านขึ้น ถ้าหากเอาด้านแหลมขึ้น จะทำให้น้ำหนักของไข่ดันให้โพรงอากาศลอยตัวขึ้นด้านบน ทำให้เยื่อหุ้มไข่ทั้งสองแยกออกจากกัน ไข่แดงซึ่งเบากว่าจะลอยตัวขึ้นข้างบนเช่นเดียวกัน และทำให้ไข่แดงติดเปลือกได้ง่ายขึ้น
6. ไม่ควรเก็บไว้นาน ควรบริโภคไข่ให้หมดภายใน 2 สัปดาห์หลังจากซื้อ

แหล่งอ้างอิง
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no12/eggpic.html
http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=545.0;wap2

http://lonegreysquirrel.blogspot.com/2006_12_01_archive.html

     เมื่อเก็บ “ไข่” ไว้นาน คุณลักษณะทางกายภาพของไข่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมาก จนทำให้ไม่สามารถนำมาบริโภคได้ในที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ

  1. โพรงอากาศในไข่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดโดยใช้วิธีส่องไข่ หากเก็บไข่ไว้ในที่ที่มีความชื้นสูงจะทำให้โพรงอากาศขยายได้ช้าลง การเปลี่ยนแปลงชนิดนี้จะทำให้ไข่สูญเสียน้ำไป
  2. ไข่แดงใหญ่ขึ้น น้ำในไข่ขาวสามารถเคลื่อนเข้าไปในไข่แดงด้วยแรงดันออสโมซิส เนื่องจากความเข้มข้นของไข่แดงมากกว่าไข่ขาว ทำให้ไข่แดงมีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่อยู่ตรงกลางของฟองไข่ มีความหนืดน้อยลง เยื่อหุ้มไข่แดงยืดออกจนขาดง่าย ทำให้ไข่มักแตกเสียก่อน แยกไข่แดงออกจากไข่ขาวยาก ในบางครั้งไข่แดงก็อาจเอียงไปติดเปลือกด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าเก็บไข่ไว้ในอุณหภูมิที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในข้อนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
  3. ไข่ขาวข้นเหลว ในขณะที่เก็บไข่ ไข่ขาวข้นจะกลายเป็นไข่ขาวเหลว เพราะมีการย่อยโปรตีนในไข่ขาวเอง ปริมาณไข่ขาวข้นในไข่ขึ้นอยู่กับพันธุ์ไก่ด้วย ในปัจจบันจึงมีการผสมพันธุ์ไก่ เพื่อให้ได้ไข่ที่มีปริมาณไข่ขาวข้นสูง
  4. ไข่เป็นด่างมากขึ้น ในระหว่างที่เก็บไข่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไข่จะค่อยๆ ระเหยออกจนมีปริมาณเท่ากับอากาศโดยรอบ ทำให้ไข่มีฤทธิ์เป็นด่างมากขึ้น 
  5. รสและกลิ่นเปลี่ยนแปลง ไข่ใหม่จะให้รสอร่อยมากกว่าไข่เก่า ถ้าเก็บไข่ไว้ในที่ที่มีอากาศเหม็น ไข่ก็อาจดูดเอากลิ่นของสิ่งที่เหม็นที่อยู่รอบๆ เข้าไปที่รูของเปลือกได้
  6. เชื้อจุลินทรีย์เพิ่มมากขึ้น จุลินทรีย์สามารถเข้าไปในไข่ได้โดยเข้าไปในที่รูพรุนของไข่ไก่ ดังนั้น เราควรเก็บไข่ไว้ในที่ทีสะอาด จุลินทรีย์บางชนิดทำให้ไข่เสียได้ และบางอย่างก็ทำให้เกิดโรคต่างๆ

แหล่งอ้างอิง
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no12/eggpic.html

    สีของเปลือกไข่เป็นรงควัตถุที่สะสมในระหว่างการสร้างไข่ในท่อนำไข่ (oviduct) และชนิดของสารสีหรือรงควัตถุนี้ถูกกำหนดจาก พันธุกรรม เช่น

     – ไก่โรด์ไอส์แลนด์เร็ด (Rhode Island Red, RIR) จะมีสารสีที่มีสีน้ำตาลจาก โปรโตพอร์ไฟริน (Protoporphyrin) สารโปรโตพอร์ไฟรินนี้ได้มาจากฮีโมโกลบินในเลือด ทำให้เปลือกไข่มีสีออกน้ำตาลอ่อน
     – ไก่พันธุ์อะรอคานา (Araucana) จะสร้างสารสีเรียกว่า โอโอไซยานิน (Oocyanin) จากน้ำดี ทำให้สีของเปลือกไข่ออกสีฟ้าหรือสีเขียวอมฟ้า

     ดังนั้นสีของเปลือกไข่ไม่ได้บ่งบอกถึงคุณค่าทางอาหารในไข่ และแม้ว่าสีของเปลือกไข่จะถูกกำหนดโดยพันธุกรรมเป็นหลัก แต่ก็พบว่าสีของเปลือกไข่อาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยบางประการ เช่น

1. แดดแรงๆ หรืออุณหภูมิร้อนมากๆ ทำให้สีจางได้ การวิจัยในออสเตรเลีย พบว่าในที่อากาศร้อนถ้าให้น้ำอุ่น (50 องศา) ไก่จะให้ไข่เปลือกสีเข้ม

2. สีของเปลือกไข่อาจซีดขึ้น เพราะไก่เกิดความเครียด ความเครียดในไก่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอะไรกระทันหันจากปรกติ เช่น เคลื่อนย้ายไก่ไปที่ใหม่ เปลี่ยนอาหาร หรือทำให้มันตกใจ ฯลฯ ความเครียดจะมีผลต่อความเข้มของสี การรบกวนไก่ตามภาวะที่มันอยู่มาประจำตามปรกติจะทำให้ให้มันกักไข่ ไม่วางไข่ตามปรกติ มันจะกักไข่ไว้บริเวณต่อมเปลือกของท่อไข่เป็นเวลานานกว่าปรกติ ช่วงนี้เองที่จะมีชั้นบางๆของแคลเซียมมาสะสมบนไข่ทำให้เหมือนไข่ฟอกขาวมีสีออกเทาๆ ตรงกันข้ามเกิดไก่มันวางไข่เร็วกว่าปรกติสารสีก็อาจมาสะสมไม่เพียงพอ
3. สารที่ผสมในอาหาร เช่น coccidiostat Nicarbazin สำหรับป้องกันโรค coccidiosis ทำให้ไข่ซีด
4. ไก่ติดเชื้อไวรัส นอกจากจะทำให้จำนวนไข่ลดลง รูปไข่ผิดปกติ สีของเปลือกอาจหายไปด้วย
5. สีของเปลือกไข่จากไก่อายุมากมักซีดกว่าไก่อายุน้อย
6. ไก่ถูกตัวไรแดง กินเลือด อาจเกิดเลือดจาง และมีผลต่อสีของเปลือกไข่
7. ไก่ติดพยาธิ อาจวางไข่สีซีดเช่นกัน

แหล่งอ้างอิง
http://gotoknow.org/blog/phankam/162498

     เพื่อนๆ อาจจะคิดว่า “เปลือกไข่” ที่เหลือทิ้งจากการกินไข่ ช่างแสนไร้ประโยชน์ เพื่อนๆ คิดผิดแล้วค่ะ เพราะเปลือกไข่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายๆ อย่าง ดังตัวอย่างต่อไปนี้

http://www.oknation.net

1. เปลือกไข่ก็ใช้รับประทานได้
เปลือกไข่นั้นอุดมด้วยธาตุเหล็กและแคลเซี่ยม เมื่อนำเปลือกไข่มาล้างให้สะอาด อบย่างให้ร้อนแล้วตำให้เป็นผงละเอียดนำไปหุงปนกับข้าวสาร จะเป็นอาหารที่มีคุณค่าบำรุงดีมาก
2. เปลือกไข่ใช้เป็นเชื้อไฟได้อย่างดี
ในขณะที่ก่อไฟ ทุบเปลือกไข่ให้แตกละเอียดแล้วใช้กระดาษห่อ มัดวางไว้ข้างใต้ฟืนจะทำให้ไฟแรงขึ้น
3. เปลือกไข่ใช้ซักผ้าได้
นำเปลือกไข่บดละเอียดผสมกับโซดาซักผ้าอย่างละ 1 ส่วนเท่าๆ กัน สามารถนำมาใช้ซักผ้าแทนผงซักฟอกได้
4. เปลือกไข่ใช้ขัดสิ่งต่างๆ ให้สะอาดได้
เปลือกไข่นำไปเผาให้เป็นถ่าน ใช้ขัดภาชนะถ้วยชาม ขัดอ่างล้างหน้า และเครื่องใช้เซรามิคทั้งหลายได้เป็นอย่างดี

5. เปลือกไข่ใช้เป็นเครื่องมือทำความสะอาดภาชนะปากแคบได้
เปลือกไข่สามารถใช้แทนแปรงล้างขวดล้างภาชนะที่มีปากแคบได้ด้วย โดยใส่เปลือกไข่ลงไปแล้วเขย่าๆ ขวดก็จะสะอาดได้
6. เปลือกไข่ไล่มดได้
โดยนำเปลือกไข่ไปย่างไฟให้เกรียม แล้วนำไปวางไว้ตรงที่มีมดตามมุมห้อง มดจะเหม็นไม่กล้ามาอีกเลย
7. เปลือกไข่ใช้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ได้
เพราะเปลือกไข่มีแร่ธาตุและสารอาหารที่จะเป็นสำหรับพืชด้วย จึงใช้เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ได้

แหล่งอ้างอิง
http://homeguru.exteen.com/20090103/entry-3
http://www.fwdder.com/topic/49893
http://www.pantown.com/board.php?id=3402&area=4&name=board4&topic=2102&action=view

อันดับที่ 10
Luxembourg
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 7,600 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 15.9 กิโลกรัม
อันดับที่ 9
France
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 1,000,900 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 16.2 กิโลกรัม
อันดับที่ 8
Bulgaria
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 123,500 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 16.3 กิโลกรัม
อันดับที่ 7
Mexico
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 1,953,300 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 17.8 กิโลกรัม
อันดับที่ 6
Saint Kitts & Nevis
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 900 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 18 กิโลกรัม
อันดับที่ 5
Czech Repubilc
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 185,900 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 18 กิโลกรัม
อันดับที่ 4
Antigua & Barbuda
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 1,600 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 18.2 กิโลกรัม
อันดับที่ 3
Monaco
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 600 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 18.8 กิโลกรัม
อันดับที่ 2
Japan
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า2,567,200 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 20.1 กิโลกรัม
อันดับที่ 1
China
บริโภครวมทั้งประเทศกว่า 28,609,000 ตัน
หรือ เฉลี่ยประชากร 1 คน จะบริโภคไข่กว่า 21.6 กิโลกรัม

รูปภาพประกอบจาก

http://www.sadung.com/download/icon/flags_icon.rar
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/0a/St_kitts_and_nevis_flag_300.png

     การจะทำ “ไข่ดาว” ให้อร่อยเด็ด มีเคล็ดลับสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ
               ประการแรก ใช้ปริมาณน้ำมันในการทอดอย่างเหมาะสม
               ประการที่สอง ให้ระดับอุณหภูมิความร้อนที่เหมาะสมในการทอด

     การทอดไข่ดาว เมื่อใช้ปริมาณน้ำมันและระดับอุณหภูมิความร้อนที่ต่างกัน ก็จะได้รูปแบบของ “ไข่ดาว” แสนอร่อยที่แตกต่างกันด้วย นั่นคือ

  • ถ้าคุณต้องการ “ไข่ดาวที่ไข่ขาวสุก แต่ไข่แดงดิบ” คุณต้องใช้ปริมาณน้ำมันมาก แต่ใช้ไฟอ่อน ไข่ขาวจะค่อยๆ สุกทีละนิดจนกระทั่งสุกทั้งหมด แต่ไข่แดงยังไม่สุก
  • ถ้าคุณต้องการ “ไข่ดาวที่ทั้งไข่ขาวและไข่แดงสุก” คุณต้องใช้ไฟอ่อน และใช้ปริมาณน้ำมันมากพอที่จะท่วมไข่แดง หรือถ้าใส่น้ำมันไม่มากนักให้ใช้วิธีนำตะหลิวตักน้ำมันราดไข่แดงจนสุก
  • ถ้าคุณต้องการ “ไข่ดาวที่ไข่ขาวเกรียม แต่ไข่แดงดิบ” คุณต้องใช้น้ำมันปริมาณนิดเดียวทากระทะให้เป็นมัน และใช้ไฟร้อนจัด เมื่อไข่ขาวเริ่มเกรียมก็ให้ใช้ตะหลิวแซะยกออก
http://img2.timeinc.net/health/images/
gallery/diet/fried-egg-400.jpg

หมายเหตุ ในปัจจุบันนิยมนำน้ำมาใช้ในการทอดไข่แทนน้ำมันเพื่อรักษาสุขภาพ ซึ่งวิธีการก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ใช้ น้ำ 1/2 ถ้วย และน้ำส้มสายชู 1/2 ช้อนชา แทนน้ำมัน และใช้ไฟระดับปานกลางในการทอด ก็จะได้ “ไข่ดาวน้ำ” แสนอร่อยพร้อมเสิร์ฟ

แหล่งอ้างอิง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sodnaisoi&month=05-2009&date=27&group=17&gblog=223

http://www.fotosearch.com/bigcomp.asp?path=CSP/CSP422/k4226440.jpg

     การจะทำ “ไข่เจียว” ให้อร่อยเด็ด มีเคล็ดลับสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ

     ประการแรก ต้องเลือกไข่ที่เหมาะสมต่อการเจียว
     ไข่ที่นำมาเจียวนั้น ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ด ควรจะเป็นไข่ที่ไม่ใช่ไข่สด (หมายถึงไข่ที่พึ่งออกใหม่ ๆ) โดยดูได้จากผิวไข่ ซึ่งไข่ที่สดจะเปลือกไข่บางกว่าและใสกว่าไข่เก่ามาก ที่ไม่ใช้ไข่ใหม่ เพราะเวลาตีให้เข้ากันระหว่างไข่ขาวกับไข่แดงจะไม่เกิดความหนืด ทำให้เวลาเจียวไข่จะไม่เกาะตัวเป็นแพ

     ประการที่สอง ต้องเจียวไข่ให้ฟู
     การจะทำให้ไข่เจียวนิ่มฟูได้มากๆ นั้น มีอยู่ 3 สูตรวิธี นั่นคือ
     สูตรแรก
     เมื่อตอกไข่ใส่เครื่องปรุงพร้อมเรียบร้อยแล้ว ให้บีบมะนาวลงไปซักครึ่งซีก ก่อนที่จะนำไปเจียว
     สูตรที่สอง
     เมื่อตีไข่จนไข่ขาวกับไข่แดงเข้ากันเป็นเนื้อเดียวแล้ว ใส่น้ำมันลงกระทะ รอจนน้ำมันเดือด ใช้ตะหลิวตักน้ำมันขึ้นมาเล็กน้อยแล้วใส่ลงไปในชามไข่ จากนั้นค่อยนำไข่ลงไปเจียวในกระทะ
     สูตรที่สาม
     เพื่อความฟูอย่างคงนานของไข่เจียว ให้ใส่ผงฟูลงไปหน่อยนึงในระหว่างขั้นตอนการตีไข่

ขั้นตอนในการทำ “ไข่เจียว” แสนอร่อย

  1. ตอกไข่ใส่ชาม ตามด้วยแป้งโกกิที่ผสมน้ำไว้แล้ว (ผงฟู) และน้ำปลากับน้ำตาลสำหรับปรุงรส อาจจะเติมหมูสับ ไก่สับ ทูน่า กุ้ง ปู แฮม แหนม หอย มาม่า ปลากระป๋อง พริกสด หอมแดง ข้าวโพด หอมหัวใหญ่ ฯลฯ ตามชอบ
  2. จากนั้นตีไข่กับส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนขึ้นฟอง (บีบน้ำมะนาวลงไปซักครึ่งซีก)
  3. ตั้งกระทะบนไฟที่ร้อนค่อนข้างมาก ใส่น้ำมันโดยกะให้พอดีกับไข่ที่จะเจียว เมื่อกระทะร้อนจนดูว่ามีควันกรุ่น ๆ ให้หยดไข่ลงไปสัก 2-3 หยด ถ้าไข่พองตัวขึ้นทันทีแสดงว่าน้ำมันได้ที่แล้ว
  4. ให้ยกภาชนะที่พร้อมจะรินไข่ใส่กระทะขึ้นสูงประมาณหนึ่งคืบฝามือ เทไข่ลงในกระทะ ยังไม่ต้องพลิก รอจนไข่พองตัวเต็มที่และมีกลิ่นหอมสักระยะ ให้พลิกดูเล็กน้อย เมื่อมีสีเหลืองสวยงามแล้วค่อยพลิกกลับอีกด้าน รอจนสีทั้งสองด้านใกล้เคียงกันแล้วนำมาสะเด็ดน้ำมัน

แหล่งอ้างอิง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sodnaisoi&month=05-2009&date=25&group=17&gblog=221

http://www.fotosearch.com/bigcomp.asp?path=CSP/CSP242/k2426790.jpg

     การจะทำ “ไข่ต้ม” ให้อร่อยเด็ด มีเคล็ดลับสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ

     ประการแรก ต้องป้องกันไม่ให้เปลือกไข่แตกในระหว่างการต้ม
     วิธีการที่จะต้มไข่ไม่ให้เปลือกแตก มีขั้นตอนการทำดังนี้

  1. นำไข่ออกจากตู้เย็นแล้วทิ้งไว้ เพื่อให้ไข่มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิห้อง
  2. ใช้ปลายเข็มหมุดเจาะไข่ทางด้านป้านให้เป็นรูเล็ก ๆ เพื่อลดแรงดันภายในไข่ระหว่างต้ม ในต่างประเทศจะมีเครื่องมือเพื่อการนี้ คือ Egg Piercer เป็นปลอกมีเข็มตรงกลางไว้เจาะเปลือกไข่
  3. เพื่อความมั่นใจว่าเปลือกไข่ไม่แตกแน่ ให้ผสมน้ำส้มสายชูกลั่น 5%ลงในน้ำที่ต้มไข่ราว 1-2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ลิตร
  4. จากนั้นให้ใส่ไข่ลงหม้อ เทน้ำให้ท่วมไข่ทั้งหมด ยกขึ้นตั้งไฟกลาง รอจนน้ำเดือดให้ราไฟลง จากนั้นเริ่มจับเวลา

Egg Piercer

http://ep.yimg.com/ca/I/famousfoods-store_2118_126244479.jpg

     ประการที่สอง ใช้ระดับเวลาที่พอเหมาะในการต้ม
     การต้มไข่ เมื่อใช้ระดับเวลาอย่างพอเหมาะที่ต่างกัน ก็จะได้รูปแบบของ “ไข่ต้ม” แสนอร่อยที่แตกต่างกันด้วย นั่นคือ

  • ถ้าคุณต้องการ “ไข่ลวก” คุณต้องใช้เวลาในการต้มไข่ 2-3 นาที หลังจากน้ำเดือด
  • ถ้าคุณต้องการ “ไข่ต้มยางมะตูม” คุณต้องใช้เวลาในการต้มไข่ 4-5 นาที หลังจากน้ำเดือด แต่ถ้าต้องการให้ไข่แดงสุกอีกหน่อยก็เพิ่มเวลา แต่อย่านานถึง 10 นาที
  • ถ้าคุณต้องการ “ไข่ต้มแข็งธรรมดา” คุณต้องใช้เวลาในการต้มไข่ 8-10 นาที หลังจากน้ำเดือด และอย่าให้นานมากเกินไปกว่านี้ เพราะขอบไข่แดงจะเป็นรอยคล้ำสีดำและมีกลิ่นกำมะถัน กินไม่อร่อย

     หมายเหตุ ไข่ไก่สดใหม่จากฟาร์มจะใช้เวลาต้มนานกว่าไข่ที่ทิ้งไว้หลายวันราว 1 นาที

แหล่งอ้างอิง
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sodnaisoi&month=24-05-2009&group=17&gblog=220

http://www.bloggang.com/data/s/sodnaisoi/picture/1243310029.gif

     การจะทำ “ไข่ตุ๋น” ให้อร่อยเด็ด มีเคล็ดลับสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ

     ประการแรก ต้องทำให้ผิวหน้าของไข่ตุ๋น มีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มลื่น
     หลายคนออกแรงตีไข่เพื่อให้ไข่ขึ้นฟู แต่การตีไข่นั้นทำให้เกิดฟองอากาศ เมื่อผ่านการนึ่งแล้วฟองเหล่านั้นจะแทรกตัวอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเนื้อไข่ ดูไม่น่ากิน ดังนั้นการตีไข่ในการทำไข่ตุ๋นจึงไม่ควรทำให้เกิดฟองมากไป นอกจากนี้การเติมน้ำข้าว, นมสดรสจืด หรือน้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล ลงไปผสมกับไข่ จะช่วยลดการเกิดฟองอากาศได้อีกด้วย

     ประการที่สอง ต้องใช้วิธีที่เหมาะสมในการดับกลิ่นคาวของไข่
     หลายคนมักจะใส่ผักชีลงไปเป็นเครื่องปรุงด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย เพราะเป็นการเพิ่มกลิ่นคาวของไข่ให้แรงขึ้น สิ่งที่เหมาะที่สุดคือหัวหอมแดงและต้นหอม ซึ่งมีกลิ่นแรงและกลบกลิ่นคาวไข่ได้หมด

     ประการที่สาม ใช้ “น้ำซุป” เพื่อเติมรสแฝงที่หอมหวานให้กับไข่ตุ๋น
     ไข่ตุ๋นหลังจากผ่านการนึ่ง จะค่อนข้างแห้งๆ มีน้ำเล็กน้อย การเติมน้ำซุบลงไป จะช่วยเพิ่มความอร่อยของไข่ตุ๋นให้มากขึ้นอีก วิธีการทำก็แสนง่าย แค่เคี่ยวน้ำกับกระดูกหมู 4-8 ชั่วโมง คอยช้อนฟองตลอดเวลาเพื่อให้น้าซุปใส

     ขั้นตอนในการทำ “ไข่ตุ๋น” แสนอร่อย

  1. ตอกไข่ใส่ชาม (ปกติจะใช้ไข่ไก่ซึ่งมีกลิ่นคาวน้อยกว่าไข่เป็ด) ตามด้วยหมูสับหรือไก่สับ (เนื้อวัวมีกลิ่นคาวและรสชาติเข้มข้นเกินไปไม่ควรใช้ เพราะจะกลบกลิ่นและรสชาติของไข่หมด) ตีไข่ให้ขึ้นฟูเล็กน้อยอย่าให้เกิดฟองอากาศ
  2. ปรุงรสด้วยซีอิ้วกับพริกไทยพอประมาณ ใส่หอมแดง ต้นหอม และกระเทียมเจียวพอประมาณ เติมน้ำข้าว (หรือนมสดรสจืด หรือน้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล) ลงไปประมาณ 1 3/4 ของปริมาณไข่ ถ้าเตรียมน้ำซุปไว้ด้วยก็ให้เปลี่ยนสัดส่วนตามความเข้มข้นของน้ำซุป แต่ต้องรวมได้ปริมาณน้ำเท่ากับ 1 3/4 โดยประมาณ
  3. คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอีกครั้ง เทลงใส่ภาชนะที่จะใช้ในการเสิร์ฟ (ควรมีฝาปิด เพื่อเก็บกลิ่นเอาไว้ในขณะรอเสิร์ฟ) แล้วนำไปนึ่งในหม้อนึ่งประมาณ 15-20 นาที
  4. สุกแล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวกับต้นหอมอีกครั้ง

หมายเหตุ เวลาตุ๋นไข่ไม่ควรเปิดฝาออกดูบ่อย ๆ จะทำให้อาหารสุกไม่ทั่วถึงและไม่สวย เพราะอากาศที่เข้าไปในหม้อนึ่งจะทำให้ความร้อนในหม้อลอยออกมา

แหล่งอ้างอิง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sodnaisoi&month=05-2009&date=26&group=17&gblog=222

http://lwazcc.org/web/jcarstens/healthyinfo.htm

กินไข่ป้องกันมะเร็งได้ ?
     ผลการวิจัยพบว่า เด็กผู้หญิงที่รับประทานไข่วันละ 1 ฟอง ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมเมื่ออายุมากขึ้น เพราะไข่มีกรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง นอกจากนั้น ไข่แดงยังมีสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งช่วยป้องกันอาการจุดรับภาพที่จอประสาทตาเสื่อมไปจนถึงอาการตาบอดของผู้สูงอายุได้อีกด้วย

ไข่ดิบมีประโยชน์มากกว่าไข่สุก ?
     เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะในไข่ดิบ เช่น ไข่ลวก มีโปรตีนที่จับวิตามิน B ที่ชื่อ ไบโอทิน (biotin) ทำให้การดูดซึมสารอาหารต่างๆ ลดลง นอกจากนั้นไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรค และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย ดังนั้นการกินไข่ดิบนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์ยังอาจมีโทษต่อร่างกายอีกด้วย

ไข่ไก่ที่เรากินทุกวันนี้สามารถฟักเป็นตัวได้ ?
     ไข่ไก่ที่เรานำมากิน เป็นไข่ที่ไม่ผ่านกระบวนการปฏิสนธิ คือ ไม่มีการผสมกันระหว่างเชื้อของตัวผู้และไข่ของตัวเมีย เนื่องจากในระบบสืบพันธุ์ของไก่ตัวเมียจะมีรังไข่และท่อรังไข่ รังไข่นี้มีหน้าที่ผลิตไข่ ไข่ที่ผลิตแต่ละฟองจะถูกปล่อยออกมาตามท่อรังไข่อย่างสม่ำเสมอ และแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ กระบวนการนี้จะดำเนินไปตลอด ไม่ว่าไข่จะมีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม

ไข่แดงกินมากไม่ดี ?
     หลายคนคิดว่าการกินไข่แดงนั้น ทำให้อ้วนและอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ แต่จริงๆ แล้วไข่แดงมีประโยชน์มาก
ประโยชน์อย่างแรกก็คือ ในไข่แดงมีโคลีน ซึ่งจะช่วยพัฒนาสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น และป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ยิ่งสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ควรต้องกินไข่แดง เพราะมีสารอาหารโคลีนอยู่ถึง 280 มิลลิกรัม ประโยชน์อย่างที่สองก็คือ ดีต่อหัวใจ หลายคนคิดว่าการกินไข่แดงนั้นจะทำให้คอเลสเตอรอลสูง แต่ไขมันในไข่แดงมีอันตรายน้อยมาก จริงๆ แล้วไข่ช่วยบำรุงสุขภาพของหัวใจ เพราะสารลูทีนทำให้เส้นเลือดแดงแข็งแรง จากการวิจัย คนที่มีสารลูทีนในร่างกายเยอะ เส้นโลหิตแดงก็จะแข็งแรงมากขึ้น และไม่ทำให้คอเลสเตอรอลอุดตันด้วย ประโยชน์อย่างที่สามก็คือ ไข่ช่วยทำให้สายตาดีขึ้น ในไข่แดงจะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ อย่างลูทีน ซึ่งจะป้องกันรังสีที่จะมาทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อในตาได้

กินไข่สามารถลดน้ำหนักได้ ?
     พบงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า คุณสามารถลดน้ำหนักได้ 2 ปอนด์ (ราว 1 กก.) ต่อเดือน เพียงแค่กินไข่เป็นอาหารเช้า
ผู้ทำการวิจัยได้แบ่งผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนจากศูนย์โรคอ้วนโรเชสเตอร์ในอเมริกา ออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 15 คน กลุ่มที่ 1 ให้กินไข่ 2 ฟองเป็นอาหารเช้า และกลุ่มที่ 2 ให้กินเบคอนเป็นอาหารเช้า โดยทั้งสองอย่างต่างมีปริมาณแคลอรีเท่ากัน และมีระดับโปรตีนเกือบเท่ากัน ผู้ทำการวิจัยพบว่า เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ผู้หญิงที่กินไข่เป็นอาหารเช้ารู้สึกหิวน้อยกว่า และส่งผลให้กินอาหารกลางวันได้น้อยกว่า ที่ดีไปกว่านั้นก็คือ ในช่วง 36 ชั่วโมงต่อมา กลุ่มที่กินไข่เป็นอาหารเช้าบริโภคแคลอรีโดยเฉลี่ยน้อยกว่ากลุ่มที่กินเบคอนถึง 417 แคลอรี ดังนั้นผลการวิจัยจึงสรุปได้ว่าการกินไข่จะทำให้อิ่มได้นานกว่า จึงกินได้น้อยเมื่อถึงมื้อถัดไป ช่วยให้สามารถลดแคลอรีลงได้โดยไม่รู้สึกหิว และทำให้น้ำหนักลดลงได้ถึงเดือนละ 2 ปอนด์เลยทีเดียว

แหล่งอ้างอิง
http://specially.tht.in/eggs.html
http://guru.sanook.com/pedia/topic/เรื่องน่ารู้

http://a8.vietbao.vn/images/vn888/hot/201007/
1282376442-3-egg_white_mask.jpeg

     เพื่อนๆ เคยทราบไหมคะว่า นอกจากคนจะนิยมบริโภค “ไข่” แล้ว ยังนิยมนำ “ไข่” มาใช้เสริมความงามอีกด้วย

     ในหลายๆ ประเทศ ผู้หญิงนิยมใช้ไข่ขาวเพื่อประทินผิวหน้าให้ขาวแลดูอ่อนเยาว์ ทั้งนี้เนื่องจากไข่ขาวมีโปรตีนสูง เมื่อนำมาพอกบนใบหน้าจะช่วยรักษาและสร้างเซลล์ผิวใหม่ อีกทั้งยังสามารถดูดซับน้ำมันส่วนเกินบนผิว ช่วยกระชับผิวและรูขุมขน ทำให้รูขุมขนเล็กลง

     อ่านแล้ว เพื่อนๆ หลายคนคงอยากจะลองทดลองดูบ้างใช่ไหมหล่ะคะว่าดีจริงหรือเปล่า ดิฉันเลยนำวิธีการ 

“มาส์คหน้าด้วยไข่ขาว” 
เพื่อกระชับรูขุมขนและลดความมัน
มาฝากค่ะ

  1. ล้างหน้าให้สะอาด
  2. เลือกไข่ที่จะนำมาใช้ โดยให้เลือกไข่ใบเล็ก ๆ เพราะจะมีปริมาณไข่แดงน้อยกว่าไข่ใบใหญ่
  3. ตอกไข่ใส่ถ้วย
  4. แยกไข่แดงออกให้เหลือแต่ไข่ขาว ตีไข่ขาวให้ทั่ว
  5. ทาลงบนผิวหน้าบริเวณที่ต้องการ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  6. หากต้องการใช้ไข่ขาวลอกสิวเสี้ยนด้วย ให้ใช้สำลีแผ่นๆ จุ่มไข่ขาวให้ชุ่มแล้วรีดไข่ขาวออกให้หมาดๆ (ใช้นิ้วไล่ไข่ขาวออกให้น้ำออกไปมากที่สุด)
  7. นำมาแปะไว้ตรงที่เป็นสิวเสี้ยน ทิ้งไว้ให้สำลีแห้งแข็งแล้วลอกออก สิวเสี้ยนจะหลุดตามออกมาด้วย

หมายเหตุ หลังการมาส์คหน้าแต่ละครั้ง หากมีไข่ขาวเหลือสามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก โดยเก็บไว้ในภาชนะที่สะอาดและใส่ตู้เย็น อายุของไข่ขาวจะอยู่ได้ประมาณ 1 สัปดาห์

แหล่งอ้างอิง
http://www.acnethai.com/index.php?option=com_content&view=article&id=47:2009-02-03-15-38-42&catid=54&Itemid=8

     นับเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่มนุษย์พยายามจะหาคำตอบของปัญหาโลกแตกที่ว่า ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน? ซึ่งวันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คำตอบนั้นแล้ว

     ดร.โคลิน ฟรีแมน จากสาขาวัสดุวิศวกรรม มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ได้ทำการวิจัยอย่างหนักกับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยวอร์วิคเพื่อหาคำตอบของปัญหานี้ และได้ผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “ไก่เกิดก่อนไข่”

     โดยการใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลของเปลือกไข่ ทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์และวอร์วิคได้ค้นพบสารโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่เป็นกุญแจในการไขปริศนาทั้งหมดนั่นคือ Ovocledidin-17 (OC-17)

http://www.fotosearch.com/bigcomp.asp?path=UNN/UNN761/u12022127.jpg

     โปรตีน OC-17 เป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างเปลือกไข่ โดยทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นและเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนสภาพของแคลเซียมคาร์บอเน็ตจากในตัวไก่ ให้อยู่ในรูปของเปลือกแข็งที่ใช้ห่อหุ้มไข่แดงและไข่ขาว ซึ่งโปรตีน OC-17 เป็นสารที่ถูกพบเฉพาะในรังไข่ของไก่ และผลิตได้จากในตัวไก่เท่านั้น ดังนั้นไข่จึงไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีไก่ได้

     และจากการค้นพบดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจะสามารถนำไปใช้ในการหาคำตอบเพื่อหาอายุของไข่ว่าเกิดมานานเท่าไรแล้วได้อีกด้วย

แหล่งอ้างอิง
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1853152
http://www.koratsale.com/

     ในบรรดาไข่ของสัตว์ประเภทต่างๆ ที่คนนำมาบริโภค คงไม่มีไข่ชนิดใดแพงไปกว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (caviar) ยี่ห้อ “Almas” ที่ผลิตจากปลา Beluga Sturgeon ที่จับได้จากบริเวณทะเลสาปแคสเปียนของประเทศอิหร่านอีกแล้ว

http://4.bp.blogspot.com/_1Z5_frqW26w/
SfMgl_Jj56I/AAAAAAAAFBM/UgPODp1qlQc/
s1600-h/coins191106_350x279.jpg

     “Almas” เป็นไข่ปลาคาเวียร์สีเหลืองสุกสว่าง ซึ่งแตกต่างจากไข่ปลาคาเวียร์โดยทั่วไปที่มีสีดำ จึงมีราคาสูงถึง 875,000 บาทต่อตลับ (25,000 บาท) และมีขายในร้าน Caviar House & Prunier ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

            เกร็ดความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ “ไข่ปลาคาเวียร์”

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=exdecor&month=13-08-2010&group=29&gblog=30 

     บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ไข่ปลาคาเวียร์ คือ ไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรส (“คาเวียร์” มาจากภาษาเปอร์เซีย ที่มีความหมายว่า “ไข่ปลาที่ปรุงรส”) ซึ่งไข่นั้นได้มาจากปลาหลากหลายประเภท แต่ส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน ไข่ปลาคาเวียร์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ในปัจจุบันไข่ปลาคาเวียร์ที่มีชื่อเสียง มักจะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และ รัสเซีย มีหลายประเภทและหลายสี โดยไข่ปลาคาเวียร์สีทอง ที่มาจากปลา sterlet ซึ่งนิยมรับประทานกันใน หมู่กษัตริย์และราชวงศ์ชั้นสูง เป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากมากที่สุด เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไปจนทำให้เกิดการสูญพันธุ์

แหล่งอ้างอิง
http://wowboom.blogspot.com/2009/04/most-expensive-caviar-eggs.html
http://th.wikipedia.org/wiki/คาเวียร์

     ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ต้ม ไข่ลวก ไข่ยัดไส้ เมนู “ไข่” ทั้ง 5 นี้ นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารมากมายแล้ว ยังสามารถทำนายทายนิสัยของคุณได้อีกด้วย อยากรู้ว่าตัวคุณเองมีนิสัยอย่างไร ลองเลือกเมนูที่ชอบมากที่สุด มาสัก 1 เมนู แล้วไปดูคำทำนายด้านล่างกันได้เลย

     ไข่ดาว

http://i411.photobucket.com/albums/pp191/iammeawmeaw/sunnyegg.jpg

     ถ้าคุณชอบกินไข่ดาวมาก แสดงว่าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทาย และเป็นคนที่มีความพยายามเป็นอย่างยิ่ง คุณเป็นคนกระตือรือร้น และไขว่คว้าหาโอกาสให้กับตัวเอง คุณจะไม่รอให้โอกาสต่างๆ เข้ามาหาคุณ คุณจะพุ่งเข้าใส่มันเอง

     ไข่เจียว

http://www.hilunch.com/wp-content/uploads/2008/04/e4-a2-e8-e0-a8-d5-c2-c7-bf-d9-small.jpg

     คุณเป็นคนที่มีความยุติธรรม เป็นนักวางแผน และนักคิด คุณมักคิดและทำอะไรอย่างเป็นระบบ คุณมีความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง และคุณก็มักคิดว่าคนอื่นมักคิดเช่นเดียวกับคุณ

     ไข่ต้ม

http://www.eggs4u.net/UserFiles/Image/boiled%20egg%20(2)(2).jpg

     คุณเป็นคนที่มีความอดทน หากคุณทำงานอะไรสักชิ้นหนึ่ง คุณก็จะทำให้มันเสร็จไปเลย ไม่ชอบที่จะค้างมันไว้ เพราะคุณจะหงุดหงิดกับมันมาก หากคุณทำไม่สำเร็จ คุณมักจะใช้เหตุผลในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างอยู่เสมอ

     ไข่ลวก

http://images.thaiza.com/26/26_20100512140828..jpg

     แสดงว่าคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเรื่องมาก ใครๆ ที่อยู่ใกล้มักสบายใจ เพราะคุณไม่มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มายุ่งให้รำคาญใจ คุณเป็นคนรักความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่จะว่าไปแล้ว คุณเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะใจร้อนอยู่สักหน่อย

     ไข่ยัดไส้

http://variety.teenee.com/foodforbrain/img0/54274.jpg

     คุณเป็นคนที่มีการเตรียมพร้อม ชอบท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน ต้องไม่เป็นที่ที่ทำให้ลำบาก เพราะคุณมักจะไม่ค่อยมีความอดทนกับเรื่องพวกนี้ แม้กระทั่งการทำงานก็เช่นกัน หากต้องทุ่มเทกับมันมากๆ คุณก็จะรับมันไม่ค่อยได้

แหล่งอ้างอิง
http://nangmaw-bigeye.exteen.com/20090515/entry

ข้อมูลดีๆ ที่มาของเนื้อหาทั้งหมดภายใน ‘สื่อการเรียนรู้’ นี้

  • ตอนที่ 1     การถือกำเนิดของ “ไข่” อาหาร ยอดนิยมระดับโลก
    • http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no12/eggpic.html
    • http://www.eggs4u.net/index.php?name=news&file=readnews&id=19
  • ตอนที่ 2     หลายเหตุผลที่ทำให้คนต้องกิน “ไข่”
    • http://phezeronix.com/relax/เหตุผลที่ควรกินไข่.html
  • ตอนที่ 3     ลองดูกันสักนิด มี “ไข่” ชนิดใดบ้างที่คนนิยมบริโภค
    • http://fic.ifrpd.ku.ac.th/fic/index.php/th/simplelist/262-egg-col.html  
  • ตอนที่ 4     สารอาหารใน “ไข่” กับสิ่งที่คุณคาดไม่ถึง
    • http://naikasi.blogspot.com/2009/07/blog-post_29.html
    • http://guru.sanook.com/9607
    • http://www.thaiclinic.com/medbible/egg.html
    • http://www.sudipan.net/phpBB2/viewtopic.php?p=32485
  • ตอนที่ 5     ควรกิน “ไข่” วันละกี่ฟอง นักวิชาการมีคำตอบ
    • http://variety.teenee.com/foodforbrain/4537.html
  • ตอนที่ 6     เลือกซื้อ “ไข่” อย่างไร ให้ได้ไข่ที่มีคุณภาพดี
    • http://www.agriinfo.doae.go.th/year52/knowledge/km_27-01-52.doc
    • http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=545.0;wap2
  • ตอนที่ 7     การเก็บรักษา “ไข่” ในบ้าน อย่างถูกวิธี
    • http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no12/eggpic.html
    • http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=545.0;wap2
  • ตอนที่ 8     จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเก็บ “ไข่” ไว้นาน
    • http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st2545/4-5/no12/eggpic.html
  • ตอนที่ 9     สีสันของ “เปลือกไข่” กับความนัยที่แอบแฝง
    • http://gotoknow.org/blog/phankam/162498
  • ตอนที่ 10   “เปลือกไข่” ไม่ไร้ประโยชน์อย่างที่คิด
    • http://homeguru.exteen.com/20090103/entry-3
    • http://www.fwdder.com/topic/49893
    • http://www.pantown.com/board.phpid=3402&area=4&name=board4&topic=2102&action=view                      
  • ตอนที่ 11   10 อันดับประเทศที่บริโภค “ไข่” มากที่สุดในโลก
    • http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1091
  • ตอนที่ 12   เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่ดาว
    • http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sodnaisoi&month=05-2009&date=27&group=17&gblog=223
  • ตอนที่ 13   เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่เจียว
    • http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sodnaisoi&month=05-2009&date=25&group=17&gblog=221
  • ตอนที่ 14   เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่ต้ม
    • http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sodnaisoi&month=24-05-2009&group=17&gblog=220
  • ตอนที่ 15   เทคนิคการทำอาหารประเภทไข่ให้อร่อยเด็ด : ไข่ตุ๋น
    • http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sodnaisoi&month=05-2009&date=26&group=17&gblog=222
  • ตอนที่ 16   เรื่องน่ารู้ของ “ไข่” กับสิ่งที่คุณอาจยังไม่เคยรู้
  • ตอนที่ 17   สวยได้ด้วย “ไข่”
    • http://www.acnethai.com/index.php?option=com_content&view=article&id=47:2009-02-03-15-38-42&catid=54&Itemid=8
  • ตอนที่ 18   เฉลยปัญหาโลกแตก “ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน”
    • http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1853152
    • http://www.koratsale.com/วาไรตี้/แปลกแต่จริง/นักวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาโลกแตกได้แล้ว-ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน.html
  • ตอนที่ 19   มารู้จัก “ไข่” ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกกันเถอะ
    • http://wowboom.blogspot.com/2009/04/most-expensive-caviar-eggs.html
    • http://th.wikipedia.org/wiki/คาเวียร์
  • ตอนที่ 20   ทายนิสัยจากเมนู “ไข่” ที่ชอบ
    • http://nangmaw-bigeye.exteen.com/20090515/entry

Web Site ผู้ใจดี สำหรับของตกแต่ง ‘สื่อการเรียนรู้’

  • http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=dear1124&date=22-07-2010&group=22&gblog=33
  • http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=dear1124&month=31-07-2010&group=22&gblog=45
  • http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=khowjong&month=09-2008&date=19&group=16&gblog=151
  • http://www.mini-devil.com/gallery/gallery_line_07.php
  • http://www.oknation.net/blog/kimiko168/2008/08/19/entry-1
  • http://www.oknation.net/blog/kimiko168/2008/08/19/entry-1
  • http://www.danno.net/My_Audio_Track_03_04_A_Season_Awaits.htm